“ การได้เล่นดนตรีนั้นทำให้มีความสุข อีกทั้งแพทย์ยังแนะนำว่าการเล่นดนตรีช่วยไม่ให้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ด้วย เพราะต้องใช้ความจำเป็นหลัก ปกติวงเราก็เล่นเพลงแนวร็อคแบบไม่ใช้โน้ตเพลง เล่นด้วยการใช้ความจำมากกว่า ด้วยความที่วงพวกเราเกิดมาในยุคของเพลงร็อคสากล” การทำงานของแม่น้ำ 5 สาย เริ่มเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ทั้งหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายคือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ที่ต้องกระชับพื้นที่และระยะเวลา เพื่อให้งานด้านปฏิรูปเห็นภาพเป็นรูปธรรมมากที่สุด เพื่อให้การปฏิรูปเป็นการสานต่อสู่รัฐบาลใหม่รับช่วงต่อจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้อย่างต่อเนื่องและเป็นแนวเดียวกัน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในอนาคต “รื่นรมย์คนการเมือง” สัปดาห์นี้ขอพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งสมาชิกสปท. ที่มากด้วยความรู้ความสามารถอย่าง “ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับจุดเดินหน้าปฏิรูปด้านเศรษฐกิจแบบดิจิทัลเพื่ออนาคต - เส้นทางสู่ “สภาสปท.” การเข้ามาทำหน้าที่สปท. ของปีติพงษ์ นั้นต้องบอกว่าไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรมากนัก ด้วยสปท.มาจากการแต่งตั้ง และเขาเองก็เคยทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว พอเข้ามาทำหน้าที่นี้แล้วก็มุ่งขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งมองเรื่องเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องสมัยใหม่ที่ทุกคนต้องจับตามอง ร่วมทั้งโลกนี้ด้วยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในแง่มุมของเทคโนโลยี การตลาด การศึกษา สาธารณสุข และด้านประชากร ฉะนั้นจึงถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งนี้ได้มีการหยิบจับทำเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว โดยพื้นฐานก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์อยู่แล้ว พอเข้ามาสู่หน้าที่สปท. ก็ได้รับแต่งตั้งให้อยู่ในอนุกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ กระแสใหม่ เน้นเรื่องอื่น เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจชีวภาพ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นอนาคตของประเทศ อนุกรรมาธิการนี้ก็จะวางเรื่องให้เศรษฐกิจนี้ไปอย่างให้ถึงอนาคต 4.0 - ไม่ปลื้มเนื้อแกะ สำหรับมุมส่วนตัว นั้นปีติพงษ์ บอกว่า ชอบเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ เมื่อก่อนกีฬาที่ชื่นชอบจะเป็นกีฬาเทนนิส แต่ตอนนี้คงเล่นไม่ไหวแล้ว เพราะด้วยสภาพร่างกาย อีกทั้งหัวเข่าก็เริ่มมีปัญหา เมื่อก่อนเล่นเกือบจะทุกวัน แต่เมื่อไม่ได้เล่นเทนนิสก็จะหันมาตีกอล์ฟแทน ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นเป็นคนรับประทานอาหารได้ทุกประเภท แต่ไม่รับประทานมากจนเกินไป และการชอบหรือไม่ชอบนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนูที่คนทำด้วย รสชาติดีด้วย แต่ที่บ้านภรรยาเดี๋ยวนี้ก็เลิกทำกับข้าวแล้วให้แม่บ้านทำทั้งหมดแล้ว เรื่องของความชอบอาจจะเน้นไปที่อาหารทะเลเป็นพิเศษ แต่ก็มีอาหารที่ไม่ชอบจะเป็นเนื้อแกะ ไม่ชอบกลิ่นของมันมองว่ากลิ่นเหม็น ดูแปลกๆไปหน่อย แต่หลายคนก็ชื่นชอบเมนูเนื้อแกะ - หัวใจมีดนตรี นอกจากนี้อีกหนึ่งกิจกรรมที่ปีติพงษ์ ค่อนข้างโปรดปรานเป็นพิเศษ นั่นคือการเล่นดนตรี ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่ มีเครื่องดนตรีไว้ซ้อมที่บ้านเอง ที่ว่าเล่นดนตรีนั้นเราเล่นเป็นวงชื่อวง The generation ซึ่งเจ้าตัวรับหน้าที่เล่นกีตาร์ “ เวลาเล่นจริงก็จะไปเล่นตามงานที่มีการว่าจ้างให้ไปเล่น เนื่องในงานต่างๆ รวมทั้งมร้านที่เล่นประจำอยู่ ย่านเอกมัยบ้าง ดนตรีที่วงเล่นก็มีหลากหลายแนว แต่จะเน้นแนวร็อค” ปีติพงษ์ มองว่า การได้เล่นดนตรีนั้นทำให้มีความสุข อีกทั้งแพทย์ยังแนะนำว่าการเล่นดนตรีช่วยไม่ให้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ด้วย เพราะต้องใช้ความจำเป็นหลัก ปกติวงเราก็เล่นเพลงแนวร็อคแบบไม่ใช้โน้ตเพลง เล่นด้วยการใช้ความจำมากกว่า ด้วยความที่วงพวกเราเกิดมาในยุคของเพลงร็อคสากล ปีติพงศ์ เล่าอีกว่า เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก และก็เลิกเล่นไปสักพักในช่วงวัยทำงานกลับมาเล่นอีกทีก็ตอนหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว นับได้ก็ 40 กว่าปีแล้ว ต้องบอกว่าเลิกเล่นไม่ได้เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชื่นชอบ เมื่อครั้งเป็นเด็กยังเคยแอบใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักดนตรี แต่นึกย้อนกลับไปถ้าเป็นนักดนตรีตอนนั้นคงไม่ไหวด้วยสภาพทางเศรษฐกิจ เพราะอาชีพนักดนตรีสมัยนั้นถือว่าเป็นอาชีพพวกเต้นกินรำกิน พ่อแม่ก็ไม่ได้สนับสนุนด้วย แต่ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อาชีพนักดนตรีถือเป็นอาชีพที่ทำรายได้สูง และมีชื่อเสียง ในเรื่องดนตรีนั้น เจ้าตัวบอกว่าพอมีความรู้บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นรู้ “ขั้นเทพ” กีตาร์ที่เล่นเป็นกีตาร์ไฟฟ้า วงดนตรีที่เป็นไอดอลคือ วงเดอะบีทเทิลส์(The Beatles) วงกรีนเดย์(Green Day) เป็นต้น ซึ่งเพลงที่วงเราเล่นนั้นก็เป็นแนวสากล แต่ถ้าเพลงไทยที่ฟังในยุคนั้นก็จะเป็น “เต๋อ” เรวัต พุทธินันทน์ มองว่าเพลงเหล่านั้นมีจิตวิญญาณมากกว่าเพลงไทยในยุคปัจจุบันนี้ ส่วนเพลงไทยทุกวันนี้ก็ชื่นชอบ เช่น วงบิ๊กแอส วงโมเดิร์นด็อก เรื่องเพลงนั้นฟังและอ่านหนังสือทุกวัน แต่ไม่ดูละคร ปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือแนวนิยายวิทยาศาสตร์ หรือแนวไซไฟว์ ส่วนใหญ่ที่อ่านจะเป็นนิยายของไอแซด อสิมอฟ(Isaac Asimov) การอ่านหนังสือแนวนี้ด้วยงานและตัวตนที่เป็นนั้นมองเรื่องอนาคตตลอด ยอมรับแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม เมื่อได้ทำเรื่องเศรษฐกิจก็จะมองถึงอนาคต จะไม่ค่อยคิดเรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะคิดเรื่องปัจจุบันกับอนาคตมากกว่า ฉะนั้นเราต้องเดินไปข้างหน้า แต่ไม่ใช่ว่าเราจะละเลยประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น เรื่องของประเพณี และวัฒนธรรมก็ก่อให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์ด้วย เช่นมวยไทย อาหารไทย ทุกวันนี้โด่งดังไกลไปทั่วโลก แต่อย่างไรแล้วต้องได้รับการปรับปรุงให้ร่วมสมัยขึ้น ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา - นักดำน้ำ แนวอนุรักษ์ ปีติพงศ์ เล่าว่า ตนเองนั้นชอบท่องเที่ยว เมื่อก่อนเป็นนักดำน้ำ ไปตามเกาะทั้งอันดามัน และแถบอ่าวไทย ด้วยหน้าที่การงานเมื่อก่อนเป็นปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ จึงได้มีโอกาสเหล่านี้ แต่ด้วยอายุในตอนนี้แล้วคงไม่ไหว และที่เลิกดำน้ำเพราะมองว่าเราทำลายทรัพยากรมากเกินไป เมื่อดำน้ำเหล่าปะการังก็เกิดความเสียได้ และทุกวันนี้เรื่องดำน้ำเป็นที่นิยมถึงคนต่างประเทศที่มาเที่ยวเมืองไทย นั้นก็เท่ากับเราทำลายปะการังมากขึ้น แต่เมื่อครั้งที่ได้ไปท่องเที่ยวก็จะชอบแนวธรรมชาติมากกว่า ชอบไปฟังเพลงเวลาไปเที่ยว เรียกว่าขาดเสียงเพลงเป็นไมได้ มองว่าทำให้ชีวิตไม่น่าเบื่อ และช่วงนี้ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนบ่อย โดยส่วนตัวแล้ว ปีติพงษ์ บอกว่าชอบเล่นเพลง ฟังเพลง แต่ไม่ชอบสะสมอะไรที่เกี่ยวกับเครื่องดนตรีเลย เพราะปกติไม่ชอบการสะสมอะไรอยู่แล้ว ด้วยตัวตนเป็นคนที่มองแต่เรื่องของอนาคต และให้ความสำคัญเรื่องวันข้างหน้ามากกว่า จึงไม่มีของสะสมตามที่หลายคนคิดว่าน่าจะชอบละสมเทปเพลง หรือเครื่องดนตรี ยังเชื่อว่ามนุษย์เรามีการเกิด และก็มีวันตาย ทั้งมีคนพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่ไม่เคยเห็นใครทำอย่างจริงจัง ถ้ามีการทำก็ไม่กี่คน ถ้าเราพูดไปแล้วเราก็ต้องลงมือปฏิบัติด้วย และพระพุทธเจ้าก็ยังสอนให้ลงมือปฏิบัติด้วยนั้น จึงจะถือว่าได้ทำตามจริง และทำตามเศรษฐกิจพอเพียง - ความอบอุ่นในครอบครัว มาที่มุมส่วนตัว เรื่องราวของครอบครัว ปีติพงษ์ บอกว่า ส่วนใหญ่ ในบ้านจะไม่คุยกันเรื่องงาน โดยเฉพาะกับภรรยาคู่ชีวิต ที่อยู่ด้วยกันมายาวนานกว่า 40ปีก็จะเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่า นอกจากนี้ยังมีบุตรสาว 1คน ซึ่งปัจจุบันก็เรียนจบ มีงานทำไปเรียบร้อยแล้ว ในเรื่องการทำงานของเรา ลูกสาวก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพราะเข้าใจดีว่า การที่พ่อได้ทำงานก็จะไม่รู้สึกเหงา “ ถ้าผมหยุดทำงานคงเหงา คงเหมือนผักที่เมื่อเกิดงอกขึ้นมาแล้วมีแต่ไม่มีการรดน้ำๆ ทุกวันๆก็จะไม่มีประโยชน์อะไร ซึ่งผมคงจะทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดแรงหรือไม่มีใครให้ทำแล้ว วันนั้นคงเหงาจริงๆ แต่ก็จะพยายามส่องกระจกดูตัวเอง ดูว่าสติปัญญาเรายังพอมีอยู่หรือไม่ ถ้าจำอะไรไม่ค่อยได้ ก็คงเลิกทำงาน เพราะที่สำคัญเป็นมนุษย์ต้องรู้ตัวเอง เราต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ผมคิดว่าเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว” เรื่อง : สุนันทน์ สมพงษ์ ภาพ : เอื้อเฟื้อภาพโดยปีตีพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา