วันที่ 3 พ.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึง มาตรการผ่อนคลายหลังจากมีประกาศ ข้อกำหนด ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่5และฉบับที่6 ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.63 เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผอ.ศปม. มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ , พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย , และ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ควบคุม กำกับ ดูแลและกำชับการปฏิบัติในห้วงเวลาดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดชุดตรวจร่วมกับหน่วยทหาร ฝ่ายปกครอง และสาธารณสุข เป็นชุดสายตรวจร่วม ปฏิบัติตรวจสถานที่ที่ได้รับการผ่อนปรน ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 63 ช่วงเวลานอกเคอร์ฟิว จำนวน 1483 ชุด และจัดชุดสายตรวจร่วมช่วงเวลาเคอร์ฟิว จำนวน 1,515 ชุด ซึ่งหากพบการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนนอกเหนือจากกฎหมายที่กำหนดไว้ ก็ให้ดำเนินการตามแนวทางของข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 5 ,6 และคณะกรรมการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัดต่อไป
สำหรับร้านอาหารหรือเครื่องดื่มซึ่งจำหน่ายสุรา ให้เปิดจำหน่ายได้ แต่ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน ตามข้อกำหนดฯ (ฉบับที่ 6) หากมีการฝ่าฝืน ต้องระโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และการซื้อกลับไปบริโภคที่บ้าน ก็ต้องกระทำในลักษณะส่วนบุคคล เป็นเพียงลำพัง และไม่สุ่มเสี่ยง ต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น รวมกลุ่ม ตั้งวง มั่วสุม หากมีการฝ่าฝืนก็ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ในส่วนของกิจการที่ได้รับอนุมัติให้เปิดรับประชาชนที่จะมาเข้าใช้บริการ หลังรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรน อาทิ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม ฯลฯ ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด เช่น การรักษาความสะอาด การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ตรวจวัดอุณหภูมิ ในกรณีดังกล่าวหากพบว่า มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามที่ทางราชการกำหนด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำตักเตือน ได้ตลอดเวลา หากพบว่ายังมีการฝ่าฝืนและเป็นอันตรายต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ให้เสนอผู้มีอำนาจสั่งปิดสถานที่ที่ฝ่าฝืนนั้น ในกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีประกาศ ปิด 34 สถานที่เสี่ยง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโลกติดต่อ ถึง 31 พ.ค. 63
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวอีกว่า การผ่อนปรนตามข้อกำหนด ฉบับที่ 5 และ 6 นี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจในการออกคำสั่งของแต่ละจังหวัด เช่น บางจังหวัดมีคำสั่งห้ามจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกำหนดระยะเวลาในการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละจังหวัด จึงขอให้ประชาชนโปรดติดตาม รับฟัง ข้อมูลข่าวสารจากทางจังหวัด โดย คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือ ผู้กำกับการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด ในการปฏิบัติตนตามข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งที่เกี่ยวข้องของจังหวัดนั้นๆ เพื่อเป็นการป้องกัน ยับยั้ง การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ให้หมดไปจากประเทศไทยโดยเร็ว ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชน ให้งด หรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ตามมาตรการตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 5 หากผู้ประสงค์จะเดินทาง ต้องมีความจำเป็นดังนี้
1. ต้องมีเหตุผลความจำเป็น คนเดินทางต้องรู้ความจำเป็นของตนเอง
2. ต้องมีหลักฐาน พอสมควรที่จะต้องไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ หรือให้เจ้าหน้าที่ดู
ซึ่งเหตุผลและหลักฐานดังกล่าวนั้น แม้จะมี แต่ก็ต้อง ถูกดำเนินการตามขั้นตอนเช่นการตรวจค้นคัดกรอง ระหว่างเดินทาง (จังหวัดระหว่างทางที่ผ่านจะไม่มีการกักตัว เว้นแต่ ตรวจแล้วมีไข้ ก็ต้องนำส่ง รพ.) เมื่อไปถึงปลายทาง ก็ต้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดกำหนดต่อไป