คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เข้าไปทำลายโครงสร้างของสังคม โครงสร้างของเศรษฐกิจ และยังเข้าไปเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์แบบหมุนกลับตาลปัตร แถมยังได้สร้างความปั่นป่วนระส่ำระสายให้กับการเดินทางและการสื่อสารโทรคมนาคมทุกๆอย่างบนโลกเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ จนถึงวันอังคารที่ 28 เมษายนนี้ มียอดของผู้เสียชีวิตทั่วโลกแล้วกว่า 215,000 ราย มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปแล้วกว่า 3.1 ล้านคน สำหรับสหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นประเทศพี่เบิ้มยักษ์ใหญ่ของโลกก็หนีไม่พ้นโดนโรคโควิด-19 อันลึกลับนี้เล่นงานจนซวนเซทุกรูปแบบไปด้วยเช่นกัน!!! และในวันอังคารที่ 28 เมษายน 2020 เดียวกันนี้ จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์รายงานว่า สหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อโควิดแล้วกว่าหนึ่งล้านราย และมียอดของผู้เสียชีวิตแล้วถึง 58,365 ราย โดยมีมหาวิทยาลัยวอชิงตันออกมาประเมินเพิ่มเติมอย่างน่าหวั่นวิตกว่า “ในอีกสามเดือนข้างหน้าจะมีจำนวนของผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 74,000 คน” เมื่อเดือนมกราคมนี้ เคยคาดการณ์กันเอาไว้ว่า ประธานาธิบโดนัลด์ ทรัมป์ คงจะได้รับเลือกต่อในสมัยที่สองอย่างง่ายดาย แต่ขณะนี้เข็มขัดเริ่มสั้นคาดกันไม่ค่อยได้ สืบเนื่องมาจากเขาต้องเผชิญหน้าบริหารโควิด-19 ที่เชื้อโรคร้ายนี้จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับอนาคตการเมืองของเขาโดยตรง และยังตามมาด้วยสงครามที่เขาต้องต่อสู้กับเศรษฐกิจของประเทศ แถมยังต้องต่อกรต่อปากต่อคำทำสงครามกับสื่อและประชาคมชาวโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตามการทำสงครามกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ นับเป็นตัววัดตัดสินว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีศักยภาพสามารถแสดงผลงานให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ได้หรือไม่? จากโพลของสองสำนักชื่อดังที่ได้รับความเชื่อถือสูงอันได้แก่ โพลของสำนักข่าวเอ็นบีซีและวอลล์สตรีท เจอร์นัล ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 24 เมษายน และยังมีศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7 เมษายนถึง 12 เมษายน โดยต่างก็พบว่า คนอเมริกันถึง 65% เล็งเห็นว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ทำงานล่าช้าไม่มีประสิทธิภาพ”ตรงกันข้ามกับการที่คนอเมริกันถึง 75% เล็งเห็นว่า “รัฐบาลท้องถิ่นที่มีผู้ว่าฯตามรัฐต่างๆทำหน้าที่รับผิดชอบ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีสูงมากกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยซ้ำไป” และเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แน่นอนว่านักวางกลยุทธ์ของพรรครีพับลิกันต่างพากันวิตกกังวลว่า การเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ โอกาสที่พรรคเดโมแครตจะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภามีค่อนข้างสูง และจะยังคงคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงอาจจะมีโอกาสเข้าไปคุมในทำเนียบขาวอีกด้วย มองๆไปแล้วโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับเลือกในสมัยหน้าเริ่มจะเลือนรางลงไปเรื่อยๆ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังมีข้อได้เปรียบต่อ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ในด้านเม็ดเงิน โดยขณะนี้ยอดเงินที่จะใช้จ่ายในการเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์มีมากกว่าไบเดนคู่แข่งถึง 185 ล้านเหรียญ ส่วนเงินเข้ากองทุนที่จะใช้หาเสียงของโจ ไบเดนได้รับบริจาคเพียงวันละหนึ่งล้านเหรียญเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามแม้ว่าคะแนนโดยเฉลี่ยที่สำนักโพลต่างๆออกมารายงานว่า รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังนำเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ 8% นั้น ทางค่ายพรรคเดโมแครตก็ยังไม่นิ่งนอนใจ เพราะพวกเขากำลังมีความวิตกกังวลว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะหาทางเลื่อนการเลือกตั้งออกไป โดยใช้วิกฤติโควิด-19 เป็นข้ออ้างประกาศภาวะฉุกเฉิน” เพราะเป็นการยากที่ใครจะคาดคะเนอารมณ์แกว่งๆของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ การเลือกตั้งในอีก 186 วันข้างหน้าก็คงจะโกลาหลวุ่นวายน่าดู !!! และหากจะเปรียบเทียบโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้เป็นสงคราม ก็อาจจะเปรียบเทียบได้กับสงครามเวียดนามในช่วงยี่สิบปีจากปี 1955-1975 เพราะครั้งนั้นสหรัฐฯต้องทำสงครามกับพวกเวียดกงที่ใช้วิธีการทำสงครามแบบกองโจรแอบซ่อนลี้ลับมองไม่เห็นตัวเช่นเดียวกับโควิด-19 ส่งผลให้ทหารอเมริกันต้องสังเวยชีวิตไปในสงครามถึง 58,220 คน สำหรับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่สร้างความหวาดกลัวต่อเยาวชนที่มาจากนานาประเทศทั่วโลกกว่าเจ็ดแสนคนที่พวกเขาเดินทางติดตามพ่อแม่เข้าสู่สหรัฐฯตั้งแต่ยังเยาว์วัย โดยเรียกเยาวชนกลุ่มนี้ว่า “ดรีมเมอร์” (Dreamers) ที่พวกเขาต่างพากันวิตกว่าจะถูกเนรเทศออกนอกประเทศเมื่อไหร่ ซึ่งถือเป็นนโยบายอันแสนโหดร้ายไร้มนุษยธรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เขาได้ยื่นเสนอให้ศาลสูงสุดสหรัฐฯยกเลิกการให้โอกาสต่อเยาวชนเหล่านั้น ซึ่งเยาวชนในกลุ่มนี้มีผู้ที่สำเร็จการศึกษาจนสามารถยึดอาชีพแพทย์แล้วกว่าสองร้อยคน และบางคนยังยอมเสียสละเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ และเยาวชนกลุ่มนี้ก็ยังมีที่เป็นพยาบาลอีกหลายๆคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตขับรถทางไกลหลายร้อยไมล์ ไปช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตามรัฐต่างๆด้วยเช่นกัน!!! อนึ่งการเสนอแนะแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นช่างแสนจะแปลกแหวกแนวพิสดารไม่เหมือนใครและไม่มีใครอยากเหมือน โดยแรกเริ่มเดิมทีเขาได้ออกมานำเสนอให้ใช้ยารักษาโรคมาลาเรียรักษาโรค แต่ได้ถูกสกัดกั้นจากผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อว่า ยาตัวนี้ไม่มีการพิสูจน์ว่าสามารถจะรักษาโรคโควิด-19 ได้ และต่อมาเขายังได้ออกมาแนะนำอย่างน่าหวั่นวิตกหรือน่าตลกก็ไม่ทราบได้ว่า น่าจะลองใช้ยาฆ่าเชื้อฉีดให้เข้าไปในตัวของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยบริษัทผู้ผลิตยาฆ่าเชื้อและบรรดาคณะแพทย์ต่างออกมาแถลงอย่างรีบร้อนลนลานว่า “ยาฆ่าเชื้อเป็นอันตรายต่อชีวิต ห้ามทำโดยเด็ดขาด”!!! และด้วยความห่วงใยปนกังวลใจของนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันเดียวกันกับประธานาธิบดีทรัมป์ พวกเขาถึงกับออกมาผลักดันว่า “สมควรอย่างยิ่งที่จะยุติการแถลงข่าวประจำวันของประธานาธิบดีทรัมป์ ณ ทำเนียบขาว ลง เนื่องจากมิได้เป็นผลดีต่อส่วนรวม” ล่าสุดนี้มีข่าวเปิดเผยออกมาว่า ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามผลักดันให้รัฐมนตรีฯคลัง และประธานเฟด เข้าไปช่วยเหลือโอบอุ้มบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆเป็นวงเงินถึง 500 พันล้านเหรียญ โดยไม่ได้วางเงื่อนว่าบริษัทเหล่านั้นจะต้องรักษาคนงานเอาไว้หรือไม่ ส่วนธุรกิจขนาดย่อมในขณะนี้กำลังประสพกับความยากลำบากในด้านการหาแหล่งเงินกู้ กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นช่วงสามปีกว่าๆที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มักจะทำตัวไม่น่ารักพูดจากล่าวดูถูกผู้นำของนานาประเทศมีผลทำให้คำพูดที่ออกมาจากปากของเขากลายเป็นยาพิษ เพราะผู้นำนานาชาติต่างพากันหมางเมินถอยห่างจนทำให้บทบาทของสหรัฐฯลดน้อยถอยลงตามลำดับ และจากการที่เขาออกมาแสดงปาหี่ประจำวันที่ไม่เข้าท่าจนทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯจากสายตาของนานาชาติต้องอ่อนค่าลง รวมไปถึงการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถบริหารจัดการกับไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักได้ดีเทียบเท่ารัฐบาลท้องถิ่นของรัฐต่างๆ มีผลทำให้อเมริกันชนขาดความเชื่อมั่นเกิดระส่ำระสายแตกแยกกันเป็นอย่างมาก ถือได้ว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์คือตัวปัญหายักษ์ใหญ่ไม่น้อยเลยละครับ