ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล อาชญากรก่อเกิดจากอาชญากรรมที่ก่อตัวทีละเล็กละน้อย ขาวชอบอวดของ นอกจากของเล่นหลายๆ อย่างที่ขาวเอาออกมาให้ผมดูที่บ้านของขาวนั้นแล้ว ยังมี “ข้าวของ” นานาชนิดที่ขาวเอามาโชว์ให้ผมตื่นเต้นอยู่เป็นประจำ อย่างที่ผมจำได้ติดตาก็คือกล่องใส่ดินสอ เป็นกล่องพลาสติกขนาดกว้าง 3-4 นิ้ว ยาวสัก 7-8 นิ้ว หนาประมาณครึ่งนิ้ว ใส่ดินสอได้ 5-6 แท่ง บางแบบมีที่ใส่ยางลบแบ่งช่องไว้ให้ด้วย ตัวกล่องมีโครงแข็งอยู่ในครอบพลาสติกนุ่มๆ ประกบกันด้วยแม่เหล็กเล็กๆ ตรงฝาด้านหนึ่ง และบนฝากล่องนี่เองที่แสดงถึง “ราคา” ของแต่ละกล่อง ตามลวดลายการ์ตูนอันเป็นที่นิยมกันอยู่ในช่วงเวลานั้น และขาวก็ไป “รวบรวม” มาได้ทุกระดับราคา วันหนึ่งที่โรงเรียนตอนนักเรียนกำลังจะกลับบ้าน นักเรียนหลายคนเล่นกันอยู่ในสนามหญ้าหน้าเสาธงบ้าง ใต้ถุนโรงเรียนบ้าง กระจายกันเป็นกลุ่มๆ ขาวชวนผมไปนั่งที่เสาใต้ถุนห้องตรงมุมที่คนไม่มาก ขาวนั่งพิงเสาหันหน้ามาคุยกับผม ข้างเสานั้นมีกระเป๋าหนังสือของนักเรียนวางอยู่หลายใบ ขาวคุยไปมือก็ไพล่ไปข้างหลัง ได้ยินเสียงคลิกเบาๆ คล้ายเปิดฝากระเป๋าออก สักครู่ขาวก็หยิบกล่องดินสอออกมาดู ถ้าไม่สวยก็หยิบคืนกลับเข้าไป แต่ถ้าสวยถูกใจก็หยิบใส่กางเกงแล้วเอาชายเสื้อปิดทับไว้ ขาวหยิบมาได้วันนั้นสองกล่อง พอถึงบ้านก็ยื่นมาจะให้ผมกล่องหนึ่ง แต่ผมปฏิเสธ บอกว่ามันดูดีเกินฐานะ เดี๋ยวมีใครมาถามความก็จะแตก ขาวใช้วิธีคล้ายๆ กันในการขโมยของต่างๆ คือเดินเข้าไปในมุมที่ไม่มีคน หรือเอาตัวบังไม่ให้คนขายหรือคนเฝ้าร้านเห็น แล้วหยิบสิ่งของที่เป็นเป้าหมายเข้าไปในกางเกงแล้วเอาชายเสื้อปิดไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นขนมต่างๆ ที่ขาวชอบก็คือช็อกโกแลต ซึ่งขาวเคยพาผมไปหยิบเอามาหลายอันที่ไทยไดมารู ตรงราชประสงค์ (ปัจจุบันคือบริเวณเซ็นทรัลเวิลด์ ข้างวัดปทุมวนาราม) ซึ่งตอนนั้น (พ.ศ. 2511)เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวในกรุงเทพฯที่มีบันไดเลื่อน ขาวชอบหนังสือการ์ตูน แต่ไม่ได้เอามาอ่าน แค่ขโมยมาชมเชยอยู่สักพัก ก่อนที่จะจำหน่ายจ่ายแจกไป เช่นเดียวกันกับของต่างๆ ที่เขาไป “หา” มา ขาวสารภาพกับผมในวันหนึ่งว่าวันนี้ถูกปู่ตี เพราะหนังสือที่ปู่สะสมไว้เล่มหนึ่งหายไป ปู่จึงระบายอารมณ์เอากับขาว ซึ่งความจริงก็เป็นเพราะขาวนั่นแหละ ความที่มีหนังสือที่ขโมยมามาก พอจะเอาออกไปขายก็ไปรวบรวมเอาหนังสือในบ้านเล่มอื่นๆ ขายรวมไปด้วย ขาวบอกว่าตอนอยู่ประถมหนึ่งเคยขโมยเงินปู่บ้าง ป้าบ้าง เพราะอยากได้ของเล่น พอถูกจับได้ก็ถูกปู่กับป้าเฆี่ยนตีอยู่ช่วงหนึ่ง จนขาวสาบานว่าจะไม่ขโมยเงินอีกแล้ว จึงไม่ได้ถูกเฆี่ยนตีในเรื่องนี้อีก ยกเว้นการระบายอารมณ์ของทั้งสองคนดังกล่าว แต่ขาวก็ไปขโมยยังที่อื่นๆ ขาวบอกว่าที่ขโมยง่ายที่สุดคือเสื้อผ้าที่ตากแขวนไว้ แต่ไม่มีราคาและเก็บไว้ก็ใช้ไม่ได้ แต่พวกของเล่นนั้นขายง่ายเพราะมีคนและร้านรับซื้ออยู่มาก โดยเฉพาะของสะสมและของเล่นที่อยู่ในความนิยม แต่ขาวก็จะขายเฉพาะเท่าที่จำเป็นนานๆ ครั้ง เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปหาข้าวของเหล่านั้นมาได้อย่างไร นานๆ ทีขาวจะขนข้าวของต่างๆ ที่ขโมยมาไปเผาทิ้ง แถวๆ ที่มีคนเอามาขยะทิ้งหลายๆ ที่ แล้วก็ไปขโมยมาใหม่อีกเช่นเคย เท่าที่ผมได้ “สัมผัสอย่างใกล้ชิด” ในวิธีการขโมยของขาว ผมก็ได้สังเกต “อาการ” ของขาวด้วยว่า ก่อนและหลังการขโมยข้าวของทั้งหลายนั้น ขาวมีอากัปกิริยาเป็นอย่างไร วันไหนที่ขาวจะ “ลงมือ” ขโมยอะไรสักอย่างนั้น ขาวดูมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ บางทีผิวปาก บางทีฮัมเพลง และพูดกับผู้คน ซึ่งออกจะผิดปกติ แต่พอได้สิ่งของที่ต้องการแล้ว ขาวก็จะกลับมาสู่ความเป็นปกติ คือนิ่งเงียบและเก็บตัว คล้ายๆ กับว่าการกระทำที่ผิดศีลธรรมที่ทำลงไปนั้น ทำให้เขาสงบจิตสงบใจ ได้คลายทุกข์ และกลับไปสู่ภาวะที่เป็นปกติ ผมติดตามดูขาวประกอบอาชญากรรมอยู่ไม่นาน เพราะถ้าวันไหนเห็นขาวอารมณ์ดีเข้ามาหา ผมก็จะหาเรื่องแก้ตัวว่าไม่สบายบ้าง มีธุระทางบ้านบ้าง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความไม่พอใจให้ขาวเป็นอย่างยิ่ง บางทีก็หายหน้าไปหลายวัน ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาจากบ้านให้เห็น เจอกันที่โรงเรียนก็เดินหลบ แต่ถ้าผมตกลงว่าจะไปด้วย ขาวก็จะมีอารมณ์แช่มชื่นขึ้นมาทันที (ผมมาอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในตอนเรียนมหาวิทยาลัยว่า บุคลิกภาพของบุคคลพวกนี้คือ “ชอบแสดง” หรือ Show off และจะมีความสุขมากในการทำอะไรที่เสี่ยงๆ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ความเสี่ยงทำให้รู้สึกตื่นเต้น แล้วร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกมีพลัง หัวใจเต้นแรง และรู้สึกเบาสบายภายหลังที่ความตื่นเต้นนั้นผ่านพ้นไป จึงทำให้หลายๆ คนชอบทำอะไรที่เสี่ยงๆ เพื่อให้เกิดความตืนเต้น และรู้สึกมีชีวิตชีวา อย่างกรณีของขาวนี้) ผมไม่ได้เจอกับขาวอีกเลยหลังเรียนจบชั้นประถม 7 เพราะต่างก็แยกย้ายไปเรียนชั้นมัธยมศึกษากันคนละโรงเรียน พร้อมกับอาคารสงเคราะห์ห้วยขวางก็กำลังถูกรื้อไปทีละส่วน ภายหลังจากที่ได้ก่อสร้างและพัฒนาเป็นชุมชนมาได้ 30 กว่าปี เพื่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยแบบใหม่ที่เรียกว่า “แฟลต” โดยผู้อาศัยเดิมจะได้สิทธิในการเช่าห้องชุด ครอบครัวละ 1 ห้อง ผมและแม่ซึ่งมาอาศัยตายายอยู่ต้องออกไปหาห้องเช่า ซึ่งเราก็ได้ไปเช่าอยู่แถวพระโขนง ส่วนขาวคงจะอาศัยอยู่กับป้าและปู่ที่บนแฟลตหลังใหม่ที่สร้างเสร็จแล้วนั้น ผมมาได้ข่าวของขาวอีกทีก็อีก 20 ปีต่อมา จากข่าวหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวว่า “เสือขาวฆ่าป้าตัวเอง ปิดปากคาบข่าวบอกตำรวจ” ซึ่งรายละเอียดของข่าวได้แจ้งชื่อ นามสกุล และอายุ ตรงกันกับ “ขาว” ที่ผมเคยรู้จัก แต่ที่ผมไม่เคยรู้จักก็คือขาวเคยเข้าคุกและแหกคุกออกมาครั้งหนึ่งแล้ว พร้อมกับประวัติการปล้นฆ่าอีกหลายครั้ง ในข่าวบอกว่าขาวเป็น “ฆาตกรเลือดเย็น” ชอบฆ่าคนที่ไม่มีทางสู้ บางครั้งเจ้าทุกข์ก็กำลังหลับ บางครั้งเจ้าทุกข์ก็กำลังจะวิ่งหนี อาวุธที่ใช้ฆ่าก็คือ “เชือก” ที่ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งเล่าว่า แม่ของเขาถูกรัดคอให้ตายอย่างช้าๆ โดยฆาตกรเพ่งมองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และที่เขารอดมาได้อาจเป็นเพราะถูกรัดคอเบาไปหรือไม่นานพอ เขาคงเป็นลมสลบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะฟื้นไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ฆาตกรก็หนีไปไกลแล้ว เวลาผ่านมาอีก 30 ปี ผมยังไม่ได้ข่าวอีกเลยว่า ขาวเป็นหรือตาย ขาวอาจจะถูกประหารชีวิตไปแล้ว หรือขาวยังติดคุกอยู่หรือไม่(ถ้าลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต) หรือถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว และขาวทำอาชีพอะไรต่อไป ซึ่งก็มองได้ทั้งที่ว่าขาวกลับไปเป็น “อาชญากร” ตามเดิม หรือกลับตัวเป็นคน “ปกติ” ได้แล้ว ชีวิตไม่ใช่แค่ผ้าขาวที่โดนสีต่างๆ แปดเปื้อน แต่ยังปลิวไปตามแรงลมอย่างไร้ทิศทาง