ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ภาวะชีวิตในโลกที่ขมุกขมัวของวันนี้ นับเนื่องสู่การรับรู้ที่ยากลำบากต่อความเข้าใจอันผิวเผิน เราจักไม่ตระหนักถึงอะไรเลยในความเคว้งคว้างของจิตปัญญาอันบางเบาด้วยความไม่ใส่ใจแห่งนานาสำนึก...ดูเหมือนว่าความต่อเนื่องและเคลื่อนขยายแห่งบทบาทท่าทีของมนุษยโลกโดนจำกัดด้วยความตีบตันของการหยั่งรู้ในภูมิปัญญาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ความมืดบอดในพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่จึง กระหน่ำโหมซัดทรรศนะเชิงอคติเข้าใส่โลกอย่างไร้ความกรุณา มันคือหลุมพรางแห่งอำนาจอันชั่วร้ายที่ขยายอิทธิพลต่อโครงสร้างของการดำรงอยู่แห่งชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ...ที่สุดแล้ว..นัยความหมายแห่งความเป็นชีวิตจึงจางหายลงอย่างฉับพลัน...ภายใต้หน้ากากแห่งความไม่รู้ที่ค่อยตกเป็นทาสของความชั่วช้าไปอย่างไม่รู้ตัว...เป็นเงามืดของเงามืดที่อวดอุตริอยู่ในซากแห่งความตายอันไร้ค่าของตนอยู่เช่นนั้น..และเป็นดั่งนั้นเสมอ...”
สัมผัสลึกที่ได้รับจากพลังการรับรู้แห่งการตอกย้ำเหนือธารสำนึกในโครงสร้างของรวมกวีนิพนธ์ชุดล่าสุด “วัชรชีวัน”..ของ กวีซีไรต์ “พลัง เพียงพิรุฬห์” ..คือแรงเหวี่ยงอันสำคัญต่อการมีปฏิกิริยาร่วมในผัสสะแห่งใจที่ใคร่ครวญอยู่เหนือรอยบาดเจ็บทางมายาการที่ทั้งพร่ามัวและมืดดำจนยากจะแยกแยะ เหนือบริบทแห่งความเป็นจริงของสังคมอันสิ้นนัยแห่งความวาดหวังที่ถือเป็นหมุดหมายแห่งความหวังของชีวิต ณ วันนี้..
“เพื่อมิให้เกิดความวุ่นวาย
โปรดฆ่ากันอย่างสุภาพ
ซดดื่มเลือดอย่าให้เกิดเสียงดังน่ารังเกียจ
กัดฉีกเนื้อผู้อื่นด้วยอาการไม่มูมมาม”
ภาวะแสดงที่ชวนเจ็บลึกและกราดเกรี้ยวในลักษณะของการแสดงออกนี้...คืออารมณ์ร่วมแห่งยุคสมัยที่ถอดรื้อและร่ำระบายออกมาจากแรงอัดของความเป็นจริง มันคือรสชาติแห่งเจตจำนงที่โดนกดหัวอยู่กับซากเดนของการถูกกักขังทางปัญญา ต่อการแสดงออกในการปกป้องตัวตนให้คลี่คลายจากปมปัญหาของโลกแห่งชีวิตอันสั่นไหวไปด้วยซากเดนของการถูกกระทำที่ซ้ำซาก...กลิ่นอายของเลือดเนื้อแห่งความเป็นจริงถูกรับรู้ด้วยความเศร้าหมองและขื่นขมจนยากจะสลัดหลุด ระคนกัน..
“เราเพียงเนื้อเยื่อ
เราเพียงเนื้อเยื่อ
ซ่อนซุกในโพรงกระดูกของจักรวาล/เกลือกไถลกลางปลักแห่งการก่อเกิด/เซื่องซมและขลาดเขลา/กรีดร้องด้วยน้ำเสียงของผู้อื่น/...ขณะเดียวกัน...กลับเปื่อยยุ่ย ป่นผงอยู่ในตัวเอง//..เราคือเผ่าพันธุ์บัดซบ/..ผู้โรยเชือก..ผู้โยนเชือกจมลึกลงสู่ห้วงเหวอันมืดดับ/ดำสนิทยิ่งกว่าความมืดใดๆ /พวกเราด้อยค่าปานนั้น/..จักหวังกู่ร้องชิงชังด้วยถ้อยคำอันใดเล่า.../”
เนื้อในแห่งกวีนิพนธ์ “Bone marrow and system overload” ตรงส่วนนี้ คือความดิบลึกที่เจาะไชลงไปในการรับรู้และหยั่งเห็นลงไปถึงไขกระดูกแห่งสัมผัสจริง...มันคือความรุนแรงที่เคว้งคว้างและท่าทีในการตัดสินใจกระทำ..คือการเฝ้ามองวิถีอันบีบแคบสู่การไร้ทางออก...สิ้นหวังและหมดหวังในขณะที่เราต่างรอคอยทางรอด/..จะกลืนกินสมบัติแห่งคุณธรรมอันใดได้ในยามนี้ นอกเหนือไปจากการขัดเงาตัวเองด้วยความอัปยศของยุคสมัยที่ความเป็นชีวิตเหมือนถูกขึงพืดด้วยความไม่รู้ทิศทางของการเอาตัวรอดด้วยการคลายปัญหาอันไม่รู้จบรู้สิ้น..
“เราไม่ทำสิ่งอื่นนอกจากถักขวั้นเส้นเชือกแห่งปมปัญหา/ใช้ความคิดอันซับซ้อนผูกล่ามตัวเอง/...เราไม่ทำสิ่งอื่น...นอกจากคิดค้นสารพิษโปรยไปในอากาศ/ทดแทนเม็ดเลือดสีแดงสดชุ่มหวานแห่งอดีต/...เราไม่ทำสิ่งอื่น...นอกจากหมกมุ่นกับอนาคตจากเลือดคล้ำเน่า/เฝ้ารอแสงซึ่งไม่มีวันมาถึง/จากโลกอันใกล้หลุดเป็นชิ้นด้วยการหมุนอีกเพียงรอบเดียว”
นัยแห่งการหยั่งเห็นต่อปมปัญหาของความแตกดับทางจิตสำนึกดังกล่าว...คือองค์รวมของวิจารณญาณแห่งการตกกระทบของยุคสมัย ที่ยากจะคาดเดาถึงการจัดวางลีลาแห่งความหมายของอนาคต...มุมมองจากโลกวันนี้ผ่านบทสะท้อนแห่งผัสสะชีวิตของ “พลัง” ในฐานะของความเป็นกวี...อยู่ที่การคาดเดาด้วยสำนึกวิพากษ์ตามภาวะแห่งจิตที่เพียรพยายามต่อการใคร่ครวญเพื่อการขบแตกต่อผลึกแห่งปริศนาอันดิบดานนี้..
“ใจกลางหลุมอกของระบบสุริยะ /เลือดคงไหลออกมาไม่หยุด/จากเกล็ดเลือดพร่าจางแห่งชีวิต/ อ่อนล้าพ่ายพังด้วยฝีมือของเรา/ในกะโหลกของดวงอาทิตย์/ประดาความคิดซับซ้อนไร้สาระ/..จักร่วงลิ่วกระเพื่อมของประจุไฟฟ้าอันผันผวน/กองสุมกลายเป็นสุสาน/...การเดินทางของหมู่ดาวคงจบสิ้นลง.../
“โอ้..พี่น้องของข้า../ในวงล้อมการล่มสลายแห่งหายนะนี้/บอกข้าหน่อยเถิด.../ด้วยจิตวิญญาณแห่งการปลดปล่อยทาสผู้ถูกจำขัง/การบินไกลไปกับเรียวปีกแห่งปัจฉิมภาวะนั้น/จักเป็นที่หวังได้หรือไม่...”
หลุมบ่อแห่งความวาดหวังในชีวิต...ย่อมเป็นร่มเงาของความวาดหวังอยู่เสมอ..แม้บางขณะมันจะจมปลักอยู่กับสุสานของความไร้หวัง...การเพ่งพินิจถึงความจริงในลักษณะนี้ถือเป็นที่สุด...ของการเผชิญหน้ากับคลื่นแห่งการรับรู้ภายใน..การดิ้นรนที่จะแสดงออกของเนื้อในแห่งไขกระดูกทางความคิด คืออุบัติการณ์โดยรวม...ของรวมกวีนิพนธ์เล่มนี้ที่พลังได้รีดเค้นมันออกมาจากแก่นรากของจิตปัญญาอันเป็นภาพสะท้อนแห่งภาพสะท้อนของสัญญาณชีวิตที่เต้นเร่าอยู่ในทุกลมหายใจ..
เหตุนี้..ในกวีนิพนธ์ “ศาสตร์แห่งเศษกระดูก”../.เราจึงคือใครและเป็นใครกันแน่?...เหนือคำถามอันสำคัญนี้./. “พลัง” ได้แสดงนัยความหมายแห่งผัสสะของคำตอบออกมาด้วยปรารถนาอันพรุพรั่งว่า..
“ข้าคือใครกันแน่ในดินแดนแห่งนี้/ปรารถนาข้าพุพลั่งอยู่ในหวังของผู้อื่น/โลกซึ่งการย่างย่ำไม่อาจระบุที่มาและปิดงำการไป/ใครคือข้าในสายทางตะวันรอน/ร้าวสั่นและเทิ้มหนาว
บทสะท้อนแห่งเส้นทางอันคดเคี้ยวและยากลำบากในโครงสร้างแห่งกวีนิพนธ์บทนี้ดำเนินไปด้วย “ศาสตร์แห่งกระดูก”..มันคือส่วนลึกแห่งรูปรอยชีวิตที่ซวดเซไม่แน่ใจกับการกระทำฝ่าเส้นทางอันขรุขระต่อการเคลื่อนขยายทางพุทธิปัญญา...การประจักษ์แจ้งในอุปสรรคต่อการคิดคำนึง..คือฐานรากของการเข้าใจโลกในบริบทแห่งการใช้ลมหายใจใหม่ในการเผชิญหน้ากับทุกเวทนาแห่งโยงใยของชีวิต...ซับซ้อน ซวดเซ..เหมือนจะจริงแต่ไร้ความจริงจัง...สลับสับเปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้.../
ข้อสังเกตทางความคิดในแง่มุมที่เป็นดั่งปริศนาดังกล่าว...ย่อมปรารถนาความรู้แจ้งต่อการขบแตกที่จะคลี่คลาย...ซึ่งเราจะบังเกิดอารมณ์ร่วมได้กับวิถีอันเปรียบดั่ง “ทางเทียวสายเขม่าควัน” ที่ “พลัง” ได้คว้าจับมาเป็นแกนหลักแห่งการตอบสนองต่อการเคลื่อนขยายปริศนาแห่งสำนึกสู่คำตอบอันมิใช่ความฝันได้ในที่สุด...
“เร่ไปบนทางเทียวสายเขม่าควัน เร่ถามว่าตนคือใครกัน/รู้ไหมว่าคุณคือผม/ผมคือฉัน และ ฉันคือเขา/ข่มตานอนเถิด.../อย่าได้หวั่นวิตกกับเสียงหมาป่า/อินทรีจะโฉบลงพื้นเมื่อมันอยากลง/แผ่นดินแห่งนี้คือปริมณฑลของเปลือกตา
กวีนิพนธ์ของ “พลัง” ..แม้จะต้องสดับฟังและสดับเห็น...ยินยลด้วยภาษาที่งดงามซับซ้อนอยู่ในภาวะสัมผัสในทุกๆช่วงตอน...แต่นั่นคือปาฏิหาริย์แห่งการสรรค์สร้างมโนสำนึกด้านลึกที่ฝังลึกอยู่กับความแหลมคมแห่งแสงสว่างทางปัญญาที่สอดสลับอยู่กับความเยียบเย็นแห่งผัสสะที่เคยคุ้น...ท่ามกลางสำนึกแห่งจิตอันพันผูก แม้จะไม่เคยสาดต้องทางปัญญาแต่ก็ต้องส่งแรงปะทะต่อการกระตุกเร้าต่อหัวใจที่จมปลักอยู่กับความมืดมนและเงียบงันในทุกๆบทบทจร ให้ตระหนักถึงชีวิตที่ใช้ลมหายใจแห่งการหยั่งรู้ร่วมกัน.../ไม่แปลกหน้า...ไม่เป็นอื่น..แม้จะไม่คุ้นชินต่อสำนึกแห่งกันและกันก็ตาม...
“ข้าไม่ใช่ใครไหนอื่น...
บาดพร้อยในห้วงอารมณ์ของข้า...เสมือนของท่าน/...ความต้อยต่ำของข้า เป็นดั่งสะพานส่งท่านสู่จุดหมายข้างหน้า/เป็นดั่งก้อนเมฆซึ่งก่อตัวขึ้นดุจมือทั้งคู่/ยื่นประคองดวงตะวันไว้อย่างอ่อนน้อม/หากท่านเห็นเมฆซ้อนทับกันขึ้น/ดุจมือโอบอุ้มดวงตะวัน/นั่นเป็นปรารถนาแห่งข้า/...ข้าไม่ใช่ใครไหนอื่น.../เสียงลมหายใจแผ่วเบาของข้า/เหมือนของท่าน.../ลมหายใจข้าและสายลมฤดูกาล เป็นสิ่งเดียวกัน
ลมหายใจอันเอกอุและเยียบเย็นบทนี้ของ “พลัง” ...ส่งความหมายอันเป็นหนึ่งทางความคิดที่สื่อถึงความเป็นมนุษยโลกที่ “ล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน” ...เป็นภาพพจน์แห่งความไม่เป็นอื่นตามนัยแห่งเอกภาพในยุคสมัยแห่งการมีตัวตนที่แม้จะลางเลือนต่อกันแต่ก็ยังมีส่วนแสดงถึงสัมพันธภาพอันเป็นฐานรากของการมีชีวิตอยู่ที่มิอาจคลายเคลื่อนได้...มันคือแบบแผนอันติดตรึงของชีวิต ที่ข้ามผ่านทั้งประสบการณ์ทางด้านความคิดและโยงใยแห่งปัจเจกภูมิที่เป็นประหนึ่งความฝันอันเดียวกัน...
“ร่างกายของท่านยังหนึ่งเดียวกับข้า../แผ่นดินอันเคยเป็นใบหน้าของท่าน จักเป็นใบหน้าของข้า../ร่างของท่านแม้เป็นธุลีดิน...ข้าปรารถนาอาศัยท่านเป็นฐานราก ขุดเสา ก่อคาน/สร้างวิหารเพื่อส่งทอดร่องรอยอารยธรรมชีวิต/ท่านอยู่กับข้าเสมอ/...ข้าจึงมิใช่ใครอื่น...ท่านกลืนกิน...ข้าอิ่มหนำ/ ท่านหลอมตัวเป็นท้องฟ้า..ข้ากลายเป็นฝุ่นดินท่องทั่วผืนเมฆ/ข้ารู้สึกได้ถึงสัมผัสและความฝันหนึ่งเดียว/หนึ่งเดียวอันหลากหลาย...หลากหลายรวมเป็นหนึ่งเดียว/ข้าจึงมิใช่ใครอื่น...เราจึงเป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกัน”
“วัชรชีวัน” คือความสว่างวาบทางปัญญา..อันเป็นประกายตาของชีวิต..เป็นประกายใจแห่งโลกที่หมุนวนอยู่กับวัฏจักรแห่งอารยธรรมของมวลมนุษย์..เป็นสัมผัสแห่งความฝันเพียงหนึ่งเดียวที่แทรกผ่านเข้าสู่ความเป็นหนึ่งแห่งองค์รวมอันจริงแท้ของความเป็นตัวตน... “พลัง” ได้ขับเน้นกวีนิพนธ์ในแต่ละบทของเขาข้ามผ่านธารพายุแห่งปัญญาญาณ จากมหันตฤดูสู่ความอ่อนโยนอันเฉียบคมของวัชรชีวัน..อันมีรากเหง้ามาจากธรรมคีตาของท่าน “มิลาเรปะ” ..โยคีเลื่องนามแห่งพุทธวัชรญาณ นิกายกาจู../ ภาวะดั่งนี้จึ่ง.คล้ายดั่งการร่ายเรียงภูมิปัญญาอันเคว้งคว้างในกระแสธารของกาลเวลาสู่ ความสงบนิ่งอันเฉียบคมของการสัมผัสรู้อันถาวร...มันคือโครงสร้างที่เปรียบดั่งความมืดไปสู่ความสว่าง..ดั่งการหยั่งเห็นและประจักษ์รู้ของเผ่าชนอินเดียนแดงที่อยู่ไกลออกไปโพ้นโลก...และคืบใกล้เข้ามาสู่บ่วงบาศแห่งศาสนธรรมที่ผูกร้อยเราทุกคนเอาไว้ด้วยวิถีแห่งความมืดที่ก้าวย่างไปสู่ความสว่างทั้งระหว่างความแปรปรวน...และ ..กับสัมผัสชั่ววับเดียวที่เป็นทั้งความอบอุ่นและนัยอันชวนตื่นตระหนก...
ท่ามกลางห่ากระแสของกวีนิพนธ์ ที่ไหลหลั่งออกมาในฤดูกาลแห่งประพันธกรรม...ณ ห้วงยามนี้/...ผมถือว่า “วัชรชีวัน”คือสัมผัสร่วมอันล้ำลึกแห่งภาษาสำนึกอันล้ำค่าของความเป็นกวีนิพนธ์..ด้วยผัสสะที่อยู่เหนือผัสสะ/และด้วยความเข้าใจที่อยู่เหนือสัญชาตญาณแห่งความเข้าใจ.../ความเติบใหญ่และเติบกล้าในจิตวิญญาณแห่งการพินิจพิเคราะห์โลกและชีวิตด้วยหัวใจของการหยั่งเห็นและสัมผัสรู้ของ “พลัง” ..คือก้าวย่างแห่งจิตปัญญาที่สื่อผ่านภารกิจแห่งชีวิต...ด้วยธรรมคีตาของผู้ที่ชี้ไปยังความว่างเปล่า แต่ประจักษ์เห็นในสรรพสิ่งนานา...ของนัยแห่งความเป็นโลกแห่งชีวิตอันเป็นอมตะ...นิรันดร์..
“ข้าคือบุตรแห่งธรรมผู้มีหนังเสือหุ้มกาย/โดยข้ามิเคยสวมแม้ขนหมาจิ้งจอก/ข้าคือบุตรของพญายักษ์...แต่ข้ามิเคยโกรธเกรี้ยวก้าวร้าว/ข้าคือบุตรของราชสีห์ ราชาแห่งสัตว์ป่า ผู้ใช้ชีวิตสันโดษบนภูเขาหิมะ/ภารกิจแห่งชีวิตคือเรื่องเล่นของข้า/..”