นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า... “ผลการสอบโควิดฯไทยติดอันดับโลก” . ขณะนี้ ไม่ว่าประเทศใหญ่ ประเทศเล็ก ไม่ว่าประเทศมหาอำนาจ ประเทศพัฒนา กำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนา ทุกประเทศได้รับข้อสอบเหมือนกันหมด.. “ข้อสอบการแก้ปัญหาโควิด-19ภาคปฏิบัติ” . ประเทศไทยภายใต้การนำของนายกลุงตู่ ก็เป็นผู้เข้าสอบหนึ่งในจำนวนนั้น และถูกจัดอยู่ประเภท....”ม้านอกสายตา” . เพียงพอต้นเริ่มสอบ ก็ได้รับการดูแคลนไม่เฉพาะคนนอกประเทศ คนในประเทศก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย . เริ่มต้นลุงทำงานยากลำบากมาก ร่างกายผ่ายผอม สีหน้าหมองคล้ำ เพราะขั้นตอนการทำงานถูกพันธนาการด้วยการเมือง ทั้งเรื่องของความรู้ความสามารถของคน ความจริงใจในการทำงาน การฉกฉวยมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตน ที่สำคัญคือการขาดเอกภาพและความรวดเร็วในการสั่งการ.. . ในช่วงกลางเดือนมีนาคม มีทั้งผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ(แต่อยากจะเชี่ยวชาญ) ต่างดาหน้าออกมาให้ความเห็น พยากรณ์ว่า ผู้ติดเชื้อไทยจะเหยียบหลักหลายหมื่นคนกลางเมษายนอย่างแน่นอนเนื่องจากช่วงนั้นมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง..จึงเกิดกระแสขอให้ลุงปิดบ้าน ปิดเมือง สูงขึ้น... ประกอบกับมีเรื่องการฉกฉวยหาผลประโยชน์ของนักการเมืองทุกฝ่าย เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสถานการณ์วิกฤติของประเทศชาติทุกครั้ง นักการเมืองอาชีพ นอกจากไม่สามารถช่วยประเทศชาติได้แล้ว ยังซ้ำเติมให้สถานการณ์ของชาติเลวลงทุกครั้ง... . ในชั่วโมงสอบ ลุงตู่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษข้อสอบ แล้วก็ปรึกษาผู้ที่ควรปรึกษา และ ไม่ยอมปรึกษาผู้ที่ไม่ควรปรึกษา.... . แล้วลุงก็บรรจงประยุกต์แนวคิดของลุง ผสมกับข้อเสนอแนะของผู้รู้จริง ไว้ดังนี้.... . 1.ต้องกลับไปสู่คราบเก่า”นักเผด็จการที่มีคุณธรรม”(งานที่ถนัด)โดย ประกาศ พรบ.ฉุกเฉิน....ฝืนใจรับบทเป็นอัศวินม้าขาวบัญชาการรบด้วยตนเอง . 2.ต้องทำการ”กระชับพื้นที่ของโควิด” คือ ปิดบ้าน ปิดเมืองโดยด่วน.... โดยการกระชับพื้นที่เป็นรายจังหวัด มอบให้พ่อเมืองรับผิดชอบดูแลตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยลุงถือว่า..”โรคติดต่อ..ถ้าคนไม่ติดต่อ ก็จะไม่มีการติดต่อ” . 3.ต้องลดขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสม(Mean and Lean) เน้นการแก้ปัญหาให้ตรงจุดและรวดเร็ว(Focus and Fast) . 4.ต้องใช้มืออาชีพโดยไม่ผ่านคนกลาง ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน ไม่ใช้คนตามมารยาท ต้องสลัดนักการเมืองออกไปชั่วคราว ต้องให้ข้าราชการมืออาชีพ และ ผู้รู้จริงมีอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง ต้องใช้ทีมแพทย์และสาธารณสุขที่ทรงคุณค่า รวมทั้ง ใช้อาสาสมัครสาธารสุขที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องตัดการเอาหน้า หาเสียง หาประโยชน์ทางการเมืองออกไปให้หมดทุกกระทรวง (แม้จะทราบว่า นักการเมืองรู้สึกอึดอัด และ รู้สึกด้อยความสำคัญลงไปบ้าง ลุงตู่ก็ขอโอกาสมุ่งมั่นทำเพื่อชาติเหนือสิ่งอื่นใด) . 5.ต้องใช้ความเป็นทหารอาชีพ ซึ่งเคยผ่านหลักสูตรเสนาธิการทหาร ในการวางแผนการรบเพื่อชัยชนะอย่างรัดกุม เป็นขั้นเป็นตอนอย่างกล้าหาญ . 6.เน้นบรรยากาศความร่วมมือ ความมีวินัย และ จิตสำนึกต่อส่วนรวมของคนในชาติแบบไทยๆ . หลังจากได้มีมาตรการใหม่ออกไปไม่นาน ก็มีผู้คนติดตามผลงานของลุงตู่ ซึ่งถ่ายทอดโดยคุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิ ด้วยจิตใจที่จดจ่อ ราวกับดูหนังซีริ่ย์เป็นประจำทุกวัน ... ผู้คนสนใจตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แชร์ออกสื่อแต่ละวัน ทำให้การเก็บตัวอยู่ที่บ้านมีชีวิตชีวาขึ้น เพราะบางบ้านเล่นพนันขันต่อกันในครอบครัว ทายตัวเลขผู้ติดเชื้อว่า พรุ่งนี้จะสูงหรือต่ำกว่า15เป็นต้น...(นี่คือการเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบThai New Normal) . เพื่อให้การติดตามผลงานของลุงตู่มีความสนุก และ เข้าใจง่ายขึ้น ผมจะขอสรุป(ตามความเข้าใจของผม)ดังนี้.... -มาตรการของลุง จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก... . -เริ่มต้นช่วงแรก: สถานการณ์ไม่เร่งด่วนนักและมีแรงต่อต้านน้อย ลุงจะเริ่มด้วยการให้วิสัยทัศน์ และ ขอความร่วมมือในวงกว้าง(Visionary,Extensive Participation) . -พอเริ่มมีความเร่งด่วน ลุงจะใช้วิธีการจูงใจ และ เจาะกลุ่มบุคคลเป้าหมายเพื่อให้ได้รับความร่วมมือ(Persuasive,Focus Participation) . -พอเริ่มมีแรงต่อต้านสูงแต่ไม่เร่งด่วนนัก ลุงก็เพิ่มความเข็มข้นในการใช้อำนาจ(Coercive) . -และพอสถานการณ์ทั้งเร่งด่วนและมีแรงต่อต้านสูง ลุงก็จะใช้ความเด็ดขาดสั่งการ(Dictatorial)ในทันที . ทั้งนี้ มาตรการของลุงจะผันแปรไปตามปัจจัย ความเร่งด่วน(Urgency) และ แรงต่อต้าน(Resistance).... . ความร่วมมือของคนในชาติพุ่งกระฉูดขึ้นอย่างรวดเร็ว วินัย และ น้ำใจของคนร่วมชาติดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา... . มีความเห็นบางท่านบอกว่าน่าจะมาจากความกลัวตายของประชาชน ซึ่งก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้าความกลัวตายนั้นไม่มีการนำที่ดี ไม่มีระบบที่ดี ก็จะเกิดบรรยากาศของ “ความโกลาหล” “การเอาตัวรอด” และ “ตัวใครตัวมัน” (เหมือนตอนเวียตนามใต้แตกทัพแพ้สงคราม) . แต่ถ้ามีการนำที่ดี มีระบบที่ดี จะทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย มีบรรยากาศแห่งความน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่สำคัญคือ มีความสามัคคี มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน ไม่แพร่เชื้อโรคสู่สังคมได้โดยง่าย . อีกเหตผลหนึ่งที่ทำให้เกิดความร่วมมือที่ดีขึ้น ก็คือมีการสื่อสารที่ดีขึ้น ตรงประเด็น เข้าใจง่าย ไม่มากขั้นตอน มีการใช้ผู้สื่อสารที่มีทักษะ และรู้จริง.... . เป็นที่น่าสังเกตว่า ความสามัคคีของคนในชาติ ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นตามไปด้วยอย่างมาก..... (ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนน้องหมูป่าติดถ้ำ) . ประเทศไทย ค่อยๆเปลี่ยนจากม้านอกสายตา กลายเป็นSuper Starด้านการต่อสู้โควิดของสังคมโลกไปโดยปริยาย....ลุ่งตู่มีรัศมีจับเปล่งประกาย . คำชื่นชมจากทั่วโลกหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ชื่อประเทศติดปากชาวโลก ประเทศถูกยกย่องเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งระบบการแพทย์ สาธารณสุข ระบบริหารจัดการ ตลอดจนความมีวินัย และ ความร่วมมือของประชาชน..... . ลุงเหนื่อยยากเพียงใด ก็มิเคยปริปาก... ไม่ยอมออกสื่อบ่อยครั้งเหมือนเช่นเคย... . “ผลงานให้โฆษกพูด..ส่วนลุงพูดด้วยผลงาน” . ลุงได้เลือกโฆษกได้อย่างสุดยอด ประเภท “all in one” ที่เป็นได้ทั้งโฆษก เป็นได้ทั้งแพทย์ เป็นได้ทั้งจิตแพทย์ เป็นได้ทั้งครูสอนสุขศึกษา วินัย และ จิตสำนึกของคนในชาติ จนเดี๋ยวนี้ มีแม่ยกคุณหมออยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ใครไม่รู้จักคุณหมอ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ถือว่าตกยุค.... . ถ้าดูผลงานภายใต้การนำของลุง ณ.เวลานี้ก็ถือว่าทำได้ดีมากเกินความคาดหมาย ประเมินจากคำชมของสังคมโลก ถือว่าสุดยอด แต่หนังซีรี่ย์ต้องดูกันยาวๆให้ถึงตอนจบ..ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล อุปสรรคขวากหนามข้างหน้ายังอีกเหลือคณานับ... . การตัดสินใจปลดล็อค คลายล็อคนั้น คือปัญหาใหญ่ของลุง ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนมาเป็นลำดับต้น จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ และจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทางการเมืองใดๆ เพราะถ้าตัดสินใจผิดแม้แต่เพียงเล็กน้อย อาจจะส่งผลให้ไม่มีโอกาสกลับมาได้อีกเลย... . ความปลอดภัยทางสุขภาพก็เป็นเรื่องน่าห่วง ปากท้องของประชาชน ก็เป็นเรื่องน่าห่วงไม่น้อย เราเชื่อว่าลุงตู่คงจะสร้างความสมดุลย์ ณ.จุดนี้ได้อย่างเหมาะสม... . ผลการสอบข้อสอบโควิดทั่วโลกครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์คุณภาพของผู้นำ คุณภาพของระบบการแพทย์-สาธารณสุข และ คุณภาพของคนในชาติ.... . ดังนั้น การแพ้-ชนะโควิด-19ครั้งนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแพทย์ สาธารณสุขแต่เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยที่เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ(Key of Success Factors)ครั้งนี้ คือ การยืนระยะต่อกรกับโควิด อย่างมีวินัย มีน้ำใจ กล้าหาญ อดทนอดกลั้น มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ และ ภายใต้การนำที่ดีมีคุณภาพ.... . สรุป: ช่วงนี้ ถ้ามองในด้านภาวะผู้นำ บอกได้คำเดียวว่า ลุงตู่มีบารมีราศรีจับที่สุด มีผลงานที่จับต้องได้ที่สุด ไม่ใช่แค่ระดับประเทศไทย แต่ไปไกลระดับโลกแล้ว... ลุงสอบผ่านข้อสอบข้อนี้ไปได้อย่างสบายระดับเกรด เอ บวก..... . ..”การทำความดี มีคนเห็น ไม่จำเป็นต้องเป่าประกาศ” . (ขอเรียนว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อเชียร์ลุงตู่ เพียงแต่ต้องการชื่นชมคนทำดี เหมือนที่สังคมโลกเขาชื่นชมกันเท่านั้น)