"พณ."ส่งการบ้านตามมติ"กนศ."เสนอให้"ครม."พิจารณาไปเคาะประตูขอเจรจาร่วมวงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) เชื่อช่วยขยายส่งออก เพิ่มจ้างงาน ดันจีดีพีไทย ห่วงช้าเสียโอกาสให้เพื่อนบ้าน ซ้ำเติมวิกฤติโควิด-19 ขณะที่"อลงกรณ์"ฝาก 6 ข้อคิดกรณี CPTPP ติงอย่าเดินหลงทางผิดทิศผิดเวลา เมื่อวันที่ 27 เม.ย.63 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ซึ่งมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อเดือน ก.พ.63 ที่ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการศึกษาและระดมความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของไทย ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษาและการระดมความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ จึงได้ดำเนินการตามมติกนศ. โดยได้ส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งนี้ ผลการศึกษาตามแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์สรุปว่า การเข้าร่วม CPTPP จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว โดย GDP จะขยายตัวร้อยละ 0.12 (คิดเป็นมูลค่า 13.32 พันล้านบาท) การลงทุนขยายตัวร้อยละ 5.14 (คิดเป็นมูลค่า 148.24 พันล้านบาท) แต่หากไม่เข้าร่วม CPTPP จะส่งผลกระทบ GDP ไทยลดลงร้อยละ 0.25 (คิดเป็นมูลค่า 26.6 พันล้านบาท) และกระทบการลงทุนร้อยละ 0.49 (คิดเป็นมูลค่า 14,270 ล้านบาท) รวมทั้งจะทำให้ไทยเสียโอกาสขยายการค้าการลงทุนและการเชื่อมโยงห่วงโซ่หรือกระบวนการผลิตในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียนเช่น เวียดนาม และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสมาชิก CPTPP แล้ว โดยพบว่าตั้งแต่ที่ความตกลง CPTPP หาข้อสรุปได้ในปี 2558 จนถึงปี 2562 การส่งออกของเวียดนามไปประเทศสมาชิก CPTPP เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 7.85 และของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 9.92 ขณะที่การส่งออกของไทยไป CPTPP เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3.23 ส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้า (FDI Inflow) ของเวียดนาม และสิงคโปร์ ในปี 2562 มีมูลค่า 16,940 และ 63,939 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ ขณะที่ของไทยมีมูลค่าเพียง 9,010 ล้านเหรียญสหรัฐ นางอรมน กล่าวอีกว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเป็นปัจจัยเร่งให้ระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร แรงงาน เจ้าของกิจการ โดยเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาเติบโตเพราะไทยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตโลก ไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้า ที่มีกำลังการผลิตเพียงพอเกินความต้องการในประเทศ และสามารถเติบโตจนเป็นผู้ส่งออกที่ติดอันดับท๊อปเทนของโลกในสินค้าต่างๆ และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้มาก เช่น อาหาร รถยนต์และชิ้นส่วน เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์ เขียนความเห็นเกี่ยวกับ CPTPP ในเฟสบุ้คส่วนตัว ว่า ในฐานะที่เคยทำงานเกี่ยวข้องโดยตรงกับเอฟทีเอ (FTA) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และเคยทำงานด้านการปฏิรูปประเทศสมัยเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ขอแลกเปลี่ยนมุมมองของผมด้วยร้อนใจเกรงว่าจะเกิดการเดินหลงทางผิดทิศและผิดเวลา สำหรับผมคิดว่า ประเทศไทยยังไม่ควรพิจารณาการเข้าร่วมกลุ่ม "ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก"หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership (CPTPP) ซึ่งมีผลกระทบในวงกว้างหลายภาคส่วน และขณะนี้วิกฤติโควิด19ลามไปทั่วโลกจึงไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะพิจารณาในเรื่องนี้ จึงฝากข้อคิดอย่างน้อย 6 ประการให้พิจารณา 1.วิกฤติโควิด19เปลี่ยนโลก ประเทศไทยยังไม่ควรทำความตกลงFTAใดๆเพิ่มเติมรวมทั้งCPTPPเพราะระบบการค้า การบริการและการลงทุนของโลกจะมีการปรับตัวครั้งใหญ่ภายหลังวิกฤติโควิด19 จึงไม่ควรเร่งรีบพิจารณาในขณะที่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง 2.ปฏิรูประบบเศรษฐกิจประเทศประเทศไทยในวันข้างหน้าต้องลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติยืนบนขาตัวเองมากขึ้นโดยปรับลดสัดส่วนการพึ่งพารายได้จากการส่งออกจาก70%เป็น50% ของGDPซึ่งเป็นเป้าหมายการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การคิดใช้ซูเปอร์FTAในการขยายการส่งออกและการลงทุนโดยพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้นจึงเป็นการเดินหลงทางผิดทิศหรือไม่ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงต้องยึดเป้าหมายยึดหลักให้มั่นคงการปฏิรูปจึงจะเกิดขึ้นจริง 3.ศึกษารอบด้านหรือยัง CPTPPเป็นรูปแบบซูเปอร์FTAที่ต้องเปิดเสรีเพิ่มขึ้นกว่าทุกFTAที่ประเทศของเราเคยทำทั้งภาคการค้า การบริการและการลงทุน การศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านในระดับประเทศเป็นเรื่องที่ต้องทำก่อนการตัดสินใจสุดท้าย 4. ผลกระทบเมล็ดพันธุ์และยา ข้อกังวลประเด็นยาและเมล็ดพันธุ์ใหม่รวมทั้งGMOเป็นประเด็นกระทบคนยากจนและเกษตรกรรวมทั้งผู้บริโภคจึงควรให้น้ำหนักในการเปิดกว้างรับฟังและวิเคราะห์ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวตลอดจนการป้องกันการผูกขาดของบริษัทขายเมล็ดพันธุ์ทั้งบริษัทในประเทศไทยและในต่างประเทศ 5.ศึกษาUPOVตกผลึกแล้วหรือ? การวิเคราะห์เชิงโอกาสและปัญหากรณีUPOVยังไม่สมบูรณ์และเป็นประเด็นสำคัญต่ออนาคตของไทยในฐานะประเทศผู้เป็นแหล่งผลิตเกษตรและอาหารของโลก (UPOV-The International Union for the Protection of New Varieties of Plants อนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่) และ6.CPTPPเป็นทางเลือกสุดท้ายหรือ?การประเมินความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้จากการเข้าร่วมCPTPPหลังจากอเมริกาถอนตัวCPTPP มีสมาชิก11ประเทศได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม ในจำนวนนี้ 9ประเทศ ทำFTAกับประเทศไทยอยู่แล้ว เราสามารถเจรจาขยับขยายความร่วมมือภาคการค้า การบริการและการลงทุนในFTAเดิมจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหรือไม่ รายงานข่าวแจ้งว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข (สธ.) ได้สั่งการให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือชี้แจงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากประเทศไทยตัดสินใจเป็นสมาชิกของ CPTPP โดยให้มีการระบุให้ชัดว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่สนับสนุนให้ประเทศไทย เข้าเป็นสมาชิก CPTPP "ในฐานะรมว.สาธารณสุข ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะนำเสนอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเต็มไปด้วยข้อห่วงใยและความกังวลที่จะมีผลกระทบต่อระบบการผลิตยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะต้องนำมาใช้ ดูแลรักษาชีวิต และสุขภาพของคนไทย ให้ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 28 เม.ย. ทราบ โดยข้อห่วงใยและความกังวลใจของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งเรื่องผลกระทบต่อการผลิตยา ซึ่งเป็นความมั่นคงด้านสาธารณสุขไทย น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญ สำหรับการพิจารณาของ ครม." รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้ทีมงานประสานถอนเรื่อง CPTPP ออกจากวาระการประชุม ครม. ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯสั่งบรรจุตั้งแต่ต้น โดยนายจุรินทร์ รับรายงานจากหลายฝ่ายที่กังวลเกี่ยวกับ CPTPP ซึ่งการบรรจุวาระ ครม.เป็นการผลักดันจากที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธาน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาฯ