วันที่26เม.ย.63 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. กล่าวว่า เตรียมยื่นหนังสือทางถึงประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันที่ 27 เม.ย.นี้ เพื่อขอให้ไต่สวนโดยด่วน และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายหรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ จากกรณีทำจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีประมาณ 20 ราย โดยในหนังสือได้อ้างถึงคำแถลงออกรายการวิทยุโทรทัศน์ และเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกลงวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา เรื่องขอให้มหาเศรษฐีให้ความร่วมมือระดับชาติช่วยเหลือรัฐบาลต่อสู้โรคระบาดโควิด-19 รวมทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ จากการตรวจอย่างถี่ถ้วน รอบด้านทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพบว่าเข้าข่ายกระทำความผิดและสมควรได้รับโทษเหมือนกับนักการเมืองในอดีตที่เคยโดนมาแล้ว ทั้งนี้ ประมวลสาระสำคัญการกระทำความผิดของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ระบุในหนังสือคำร้องเป็นข้อๆ ดังนี้ 1. ขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา164 และ 165 โดย มาตรา 164 ระบุว่า ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ 4 ประการ เช่น ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ, รักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด, รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนฯในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของตน มาตรา 165 ระบุว่า ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรี เห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของ ส.ส.และ ส.ว. นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้ 2.ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 219 ที่เชื่อมโยงถึงมาตรฐานทางจริยธรรมซึ่งเข้าข่ายกระทำผิดอย่างร้ายแรง โดยมาตรา 219 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นบังคับใช้และให้ใช้บังคับแก่ส.ส. ส.ว. และคณะรัฐมนตรีด้วย สำหรับมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2561 หมวด 1 ข้อ 9 บัญญัติว่า “ต้องไม่ขอ ไม่เรียก ไม่รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่” และข้อ 27 บัญญัติว่า “การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง” นายเรืองไกร กล่าวว่า ในหนังสือคำร้องถึงประธานป.ป.ช.ระบุว่า จดหมายเปิดผนึกลงนามในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่มีเลขที่หนังสือ สถานที่ออกหนังสือ กลุ่มมหาเศรษฐีที่ได้รับจดหมายดังกล่าว บางรายก็ได้ตอบสนองต่อคำขอในจดหมายแล้ว จึงถือได้ว่าการกระทำอาจเข้าข่ายความผิดที่สำเร็จแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯย่อมต้องทราบข้อเท็จจริงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งในฐานะผู้ตรา พ.ร.ก.รวม 3 ฉบับ วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท ส่วนหนึ่งก็อาจจะนำไปใช้เพื่อเอื้อประโยชน์บริษัทของกลุ่มคนดังกล่าวซึ่งสื่อมวลชนก็ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง “กลุ่มคนดังกล่าวบางรายยังมีธุรกิจที่รับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อมในโครงการต่างๆ เช่น โครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน โครงการสนามบินพาณิชย์แห่งใหม่ โครงการสัมปทานสินค้าปลอดอากร โครงการอีอีซี โครงการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วน โครงการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ โครงการเกี่ยวกับกิจการยาสูบ เป็นต้น บางธุรกิจเคยถูกอภิปรายว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับตัวนายกฯ อาจมีเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจเหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวิกฤตโควิด-19 ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดดังกล่าวขึ้นมา มีผลทำให้ธุรกิจต่างๆประสบปัญหาทางการเงินจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล กรณีที่เกิดขึ้น จึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในลักษณะที่ส่อไปในทางทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งเนื้อความในจดหมายมีการสื่อความหมายว่า เป็นการขอความช่วยเหลือจากกลุ่มคนดังกล่าวก็ตาม แต่หากพิจารณาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ได้ประโยชน์ไปจากรัฐ ย่อมทำให้เห็นเจตนาที่อาจแอบแฝงซ่อนอยู่ในลักษณะอำพรางไว้ รวมทั้ง คำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ที่บอกกับนายคีรี กาญจนพาสต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีที่พูดไว้ตอนหนึ่งว่า “เมื่อท่านมีปัญหา ผมก็จะรีบแก้ไขให้” คำพูดดังกล่าวที่ปรากฏในสื่อนั้น ส่อเป็นการกระทำที่พล.อ.ประยุทธ์ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่” นายเรืองไกร กล่าว นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ในหนังสือคำร้องได้อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 กรณี กรณีแรกเมื่อปี 2551 ระบุกรณีการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และกรณีที่สอง เมื่อปี 2560 ระบุว่าการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต้องถูกตรวจสอบโดยรัฐสภาและนายกฯที่ตกเป็นจำเลยในฐานะหัวหน้าฝ่ายปกครองต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการ หรือศาลโดยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและพิพากษาดีโดยศาล นอกจากนี้ ในหนังสือคำร้องยังอ้างถึง ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยเมื่อต้นปี 2563 ในทำนองว่า การใดที่กฎหมายมหาชนไม่ได้ห้ามไว้โดยชัดเจน ย่อมแปลว่า การนั้นไม่ได้รับรองว่าให้กระทำได้ พฤติการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกฯที่ขอความร่วมมือ ขอความสนับสนุน ช่วยเหลือจากมหาเศรษฐี เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ป.ป.ช.ต้องดำเนินการตามหน้าที่ด้วยการไต่สวนโดยเร็วแล้วส่งเรื่องไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ หากดำเนินการล่าช้าในลักษณะประวิงเวลา หรือหาเหตุมากล่าวอ้างวินิจฉัยเพื่อตัดตอนคดีไม่ให้ไปถึงศาลยุติธรรม ป.ป.ช.อาจถูกดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 ได้ จึงฝากไปถึงรัฐมนตรีในรัฐบาล ถ้าออกมารับประกันว่าการออกจดหมายเปิดผนึกของนายกฯที่มีไปถึงมหาเศรษฐีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ระวังจะเดือดร้อนไปด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และร้ายแรงมาก ควรปล่อยให้นายกฯแก้ปัญหาไปเอง” นายเรืองไกรกล่าวและในเช้าวันที่ 27 เม.ย.นี้ จะส่งหนังสือร้องไปยัง ป.ป.ช. ทางไปรษณีย์