ไม่มีรถติด ไม่มีเสียงดังเอะอะมะเทิ่ง สถานีรถไฟที่ว่างโล่ง สวนสนุกที่เงียบวิเวก การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้ประชาชนจีนที่ยุ่งกับการทำงานทุกวัน และมีคตินิยมที่ว่า “โลกกว้างใหญ่นัก ฉันอยากไปเที่ยวชม” ต้องอยู่แต่ในบ้านหลายสัปดาห์ และทำให้เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ได้กลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลก “ปิดเมือง” อูฮั่นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ วันที่ 31 ธันวาคม ปี 2019 องค์การอนามัยโลกได้รายงานว่าเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยได้พบผู้ป่วย “โรคปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด” หลายราย หลังจากนั้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกประกาศพบเชื้อไวรัสตัวใหม่ และตั้งชื่อว่า “2019-nCoV” (ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019) ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกตั้งชื่อโรคนี้ว่า “COVID-19” ถึงเวลานี้ พื้นที่ต่างๆทั่วประเทศจีน (รวมฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวัน) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เกือบ 60,000 ราย เสียชีวิตมากกว่า 1,300 ราย ผู้สงสัยติดเชื้อมากกว่า 16,000 ราย และนอกจากประเทศจีน ทั่วโลกมีกว่า 20 ประเทศพบผู้ติดเชื้อ เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีน เป็นต้นกำเนิดและเป็นเขตที่มีผู้ป่วยมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของโรค นับตั้งแต่วันที่ 23 มกราคมเป็นต้นมา เมืองอู่ฮั่นที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคน และได้รับการขนามนามว่า “เมืองศูนย์กลางเชื่อมโยง 9 มณฑล” ได้ถูกประกาศให้ต้อง “ปิดเมือง” มาตรการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ แสดงให้เห็นว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ที่รับผิดชอบ และเมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคยังคงขยายวงออกไป ปัจจุบัน เขตชุมชน หมู่บ้านและสถานที่ทำงานส่วนใหญ่ของจีนต่างดำเนินการควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด ผู้ที่เข้าออกต่างต้องตรวจวัดอุณหภูมิ คนและรถจากที่อื่นล้วนต้องรับการตรวจอย่างเข้มงวดเช่นกัน กล่าวได้ว่า จีนได้ใช้มาตรการป้องกันและควบคุมที่รอบด้านและเข้มงวดที่สุด สร้างเครือข่ายการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดที่ครอบคลุมทั้งเขตชุมชนในเมืองและชนบท แสดงถึงความได้เปรียบของระบอบสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีนที่ถือมนุษย์เป็นพื้นฐาน และรวบรวมกำลังเพื่อปฏิบัติงานใหญ่ได้อย่างดี นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้เรียกร้องให้ประชาชนทั่วประเทศ เพิ่มความมุ่งมั่นเอาจริงยิ่งขึ้น เสริมจิตใจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และใช้มาตรการที่มีความเด็ดขาดยิ่งขึ้น เพื่อเอาชนะสงครามการแพร่ระบาดของโรคอย่างเต็มกำลัง ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกระบุเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จีนได้ใช้มาตรการคัดแยกที่เข้มงวด สามารถป้องกันการแพร่กระจายติดต่อระหว่างบุคคลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ได้ปกป้องชาวจีนเท่านั้น หากยังได้ปกป้องชาวโลกทั้งหลายอีกด้วย เราควรชื่นชมรัฐบาลจีน อันที่จริง จีนได้เสนอมาตรฐานใหม่หลายด้านในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค “คุมงานผ่านเน็ต” แสดงความเคารพต่อ “ผู้เดินสวนทาง” เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้เน้นย้ำในการตรวจสอบงานวิจัยและให้คำชี้แนะต่องานป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคที่กรุงปักกิ่งว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันยังคงร้ายแรง การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดกำลังตกอยู่ในภาวะติดพันและต้องคุมเชิงกันอยู่ นายสี จิ้นผิงระบุว่า มณฑลหูเป่ยและเมืองอู่ฮั่นเป็นจุดสำคัญที่สุด เป็นสถานที่ชี้ขาดชัยชนะขั้นสุดท้ายในการเอาชนะศึกต้านโรคระบาดครั้งนี้ เมื่ออู่ฮั่นชนะ หูเป่ยก็จะชนะ เมื่อหูเป่ยชนะ ทั่วประเทศก็จะชนะเช่นกัน สำหรับการทำอย่างไรเพื่อเอาชนะศึกป้องกันอู่ฮั่นและหูเป่ย นายสี จิ้นผิงได้เสนอข้อเรียกร้องที่เป็นรูปธรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงการรับและรักษาผู้ป่วยให้ถึงที่สุด ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน หัวหน้ากลุ่มผู้นำงานรับมือการแพร่ระบาดของโรคของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้รับการมอบหมายจากนายสี จิ้นผิง เดินทางถึงเมืองอู่ฮั่นเพื่อรับทราบความคืบหน้าและให้การชี้นำงานป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด เพื่อปฏิบัติตามแผนการรับและรักษาให้ถึงที่สุด โดยไม่ปล่อยทิ้งผู้ป่วยและผู้สงสัยติดเชื้อแม้แต่คนเดียว ตลอดหลายวันมานี้ นางซุน ชุนหลาน รองนายกรัฐมนตรีจีนได้นำทีมบัญชาการส่วนกลางให้การชี้นำและจัดการในมณฑลหูเป่ยและเมืองอู่ฮั่น โดยใช้มาตรการเด็ดขาดอย่างไม่รอช้า ปฏิบัติตามมาตรการคัดแยก “กลุ่มคน 4 ประเภท” อันได้แก่ ผู้ป่วย ผู้สงสัยติดเชื้อ ผู้มีไข้ที่ยังไม่อาจขจัดความเป็นไปได้ว่าติดเชื้อ และผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เพื่อบรรลุงานรับและรักษาให้ถึงที่สุด เมืองอู่ฮั่นใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนเตียงผู้ป่วยซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไขยากที่สุด ก่อนอื่น เมืองอู่ฮั่นได้ใช้ความเร็วการก่อสร้างที่น่าตกใจ ใช้เวลาประมาณ 10 วันในการก่อสร้างโรงพยาบาลหั่วเสินซานและโรงพยาบาลเหลยเสินซานตามลำดับ ซึ่งจะมีเตียงรองรับผู้ป่วยได้กว่า 2,300 เตียง หลังจากนั้น เมืองอู่ฮั่นได้เริ่มการก่อสร้างโรงพยาบาลเฉพาะกาลขึ้น ด้วยการดัดแปลงโรงยิม ศูนย์รับรองการประชุมและจัดนิทรรศการจำนวนหนึ่งให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราว รับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ปัจจุบัน โรงพยาบาลชั่วคราวได้เพิ่มขึ้นเป็น 13 แห่ง มีเตียงผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นหมื่นเตียง ได้มีการถ่ายทอดสดงานก่อสร้างโรงพยาบาลชั่วคราวเหล่านี้แบบ 24 ชั่วโมง ดึงดูดชาวเน็ตจีนกว่า 200 ล้านคนรับชม ซึ่งชาวเน็ตจีนเรียกการชมถ่ายทอดสดเป็น “การคุมงานผ่านเน็ต” ผู้คนทั้งหลายใช้วิธีดังกล่าวแสดงถึงการให้ความสำคัญและกำลังใจแก่ผู้ที่ก่อสร้างโรงพยาบาล ตลอดจนความมั่นใจที่รวมพลังกันต้านทานการระบาดของโรค เมื่อได้เห็นบรรดาผู้ก่อสร้างทำงานแข่งกับเวลาแบบไม่หลับไม่นอน มีชาวเน็ตเขียนข้อความแสดงความเห็นว่า “ไหนว่ามี ‘ปีศาจบ้าการก่อสร้าง’ แท้จริงคือ ‘ผู้เดินสวนทาง’ ที่แสนเรียบง่ายและจิตใจดีงาม” “ผู้เดินสวนทาง” กลายเป็นคำฮิตบนโลกออนไลน์ของจีนในปัจจุบัน ข้อมูลแสดงว่า ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ (ตั้งแต่ 10.00 น. ของวันที่ 23 มกราคม ถึง 24.00 น. ของวันที่ 29 มกราคม) หลังจากประกาศปิดช่องทางออกจากเมืองอู่ฮั่นต่างๆ เช่น สนามบินและสถานีรถไฟ กลับมีคนจากต่างมณฑลเดินทางเข้าเมืองอู่ฮั่นเพิ่มมากขึ้น รวมแล้วประมาณ 123,800 คน “ผู้เดินสวนทาง” เหล่านี้ คือ ทีมแพทย์พยาบาล ผู้เชี่ยวชาญป้องกันโรคระบาด คนขับรถโลจิสติกส์ กองทหารปลดแอกและคนงานก่อสร้าง “เมื่อที่หนึ่งประสบความยากลำบาก ทั่วประเทศจะส่งกำลังช่วยเหลือได้ทันที” แสดงให้เห็นถึงข้อดีของระบอบการปกครองของจีน การต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคต้องยืนหยัดการเดินหน้าสู้ไม่ถอยด้วยแผน “หมากรุกทั่วประเทศ” ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้บัญชาการเรียกร้องให้ คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์และเทศบาลระดับต่างๆ จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งการของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำการจัดวาง ควบคุมและประสานงานแบบเป็นเอกภาพ และเน้นว่า ทุกภาคส่วนและทุกหน่วยงาน จำเป็นต้องเพิ่มจิตสำนึกต่อสังคมส่วนรวมและสถานการณ์โดยรวมทุกด้าน งานต่างๆ ต้องให้การสนับสนุนเต็มที่กับการเอาชนะศึกป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพื่อรวมพลังกันอย่างมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการสุขภาพและอนามัยแห่งชาติจีนได้จัดตั้งกองประสานงานจัดการกลไกร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งประกอบด้วย 32 หน่วยงาน ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กลไกความร่วมมือประสานงานกัน เช่น ทำการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด รักษาพยาบาลและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มอัตราการรับและรักษาผู้ป่วย อัตราการรักษาหาย ลดอัตราการเสียชีวิต คณะกรรมการสุขภาพและอนามัยแห่งชาติจีนได้สั่งการให้ 19 มณฑลเร่งช่วยเหลือ 16 เมือง และเขตปกครองตนเองตลอดจนเมืองระดับอำเภอของมณฑลหูเป่ย ที่นอกเหนือจากเมืองอู่ฮั่น อนึ่ง จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีทีมรักษาพยาบาล 154 ทีม เจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล 18,700 คน เดินทางถึงมณฑลหูเป่ย และร่วมปฏิบัติหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับแพทย์พยาบาลท้องถิ่นแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สนามบินเทียนเหอ เมืองอู่ฮั่น ได้รองรับการลงจอดของเครื่องบินเหมาลำจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ กว่า 40 ลำ โดยมีแพทย์พยาบาล 31 ทีมกว่า 5,900 คนเดินทางถึงเมืองอู่ฮั่น ซึ่งนับเป็นวันที่มีจำนวนทีมรักษาพยาบาลเดินทางถึงอู่ฮั่นมากที่สุดภายในหนึ่งวัน หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคเป็นต้นมา อนึ่ง หลัว เฟิ่งหมิง แพทย์แผนกวิชาเวชศาสตร์ทางเดินหายใจและวิกฤตจากทีมแพทย์โรงพยาบาลหวาซีมหาวิทยาลัยเสฉวน กล่าวว่า “เมื่อที่หนึ่งประสบความยากลำบาก ทั่วประเทศจะส่งกำลังช่วยเหลือทันที ทรัพยากรรักษาพยาบาลจำนวนมากได้ถูกส่งมาจากทั่วสารทิศ แสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบของระบอบสังคมนิยม” ข้อมูลสถิติแสดงว่า หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรค พื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจีนได้จัดส่งอุปกรณ์ป้องกันและของใช้ประจำวันรวม 106,000 ตัน ไปยังมณฑลหูเป่ยผ่านการขนส่งช่องทางต่างๆ เช่น ทางรถไฟ ทางหลวง ทางเรือ ทางอากาศ และทางไปรษณีย์ เป็นต้น พร้อมทั้งพลังงานภาคการผลิตต่างๆ อีก 515,000 ตัน ซึ่งรวมถึงถ่านหินกำเนิดไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะเดียวกันวิสาหกิจส่วนกลางก็กำลังพยายามเร่งผลิตหน้ากากอนามัย ชุดป้องกันการติดเชื้อ แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทต่างๆ ส่วนธนาคารพัฒนาการเกษตรจีนก็ได้เปิดช่องทางสีเขียว ปล่อยเงินกู้รับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินกว่า 5,000 ล้านหยวนให้กับวิสาหกิจ 60 แห่ง เพื่อสนับสนุนการผลิตผลิตภัณฑ์ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกระบุว่า “จีนมีปฏิบัติการรวดเร็วและมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมากในโลก” การยืนหยัดสู้ไม่ถอยแบบหมากรุกทั่วประเทศ ระดมความกระตือรือร้นของฝ่ายต่างๆ รวบรวมกำลังเพื่อปฏิบัติงานใหญ่ได้อย่างดี เป็นความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดของระบอบบริหารปกครองประเทศของจีน และก็เป็นของวิเศษสำคัญในการเอาชนะสงครามต้านโรคระบาดครั้งนี้ การเกิดโรคระบาดไม่สามารถสั่นคลอนสภาพเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มดีมาตลอดได้ เจาะจงต่อกรณีที่วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กและขนาดย่อมทั้งหลาย ต่างได้รับผลกระทบจากโรคระบาดครั้งนี้ รัฐบาลท้องที่ต่างๆ ของจีนได้ประกาศนโยบายพิเศษ คลายความกังวลให้กับวิสาหกิจเหล่านี้ โดยให้การสนับสนุนทางนโยบายการคลังและการจัดเก็บภาษี ให้การสนับสนุนการสร้างความมั่นคงแก่พนักงานในองค์กร เพิ่มกำลังการรวบรวมเงินทุน ช่วยเหลือให้การผลิตมีความมั่นคง ลดภาระให้กับวิสาหกิจในการประกอบกิจการ และการที่แวดวงภายนอกได้จับตามองถึงผลกระทบจากโรคระบาดที่มีต่อเศรษฐกิจจีน เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยปัญหาระหว่างประเทศเซี่ยงไฮ้ได้ประกาศรายงาน “จีนกับงานต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ : ผลคืบหน้าและผลกระทบ” โดยระบุว่า การเกิดโรคระบาดครั้งนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อบางกิจการในภาคบริการ การผลิต และการค้า แต่ความเหนียวทนของเศรษฐกิจจีนมิอาจประเมินค่าต่ำได้ หากพิจารณาในระยะสั้น การเกิดโรคระบาดครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลเสียต่อวิสาหกิจทั้งหมด เพราะได้ส่งผลดีต่อแวดวงอีคอมเมิร์ซ เกมออนไลน์และกิจการบันเทิง และหากพิจารณาในระยะยาว จีนในฐานะเป็นองค์เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก มีพลังแฝงใหญ่หลวงในขอบเขตเศรษฐกิจใหม่ต่างๆ เช่น การบริโภค การพัฒนาชนบท 5G และเอไอ ซึ่งไม่ได้สูญเสียไปเนื่องจากการเกิดโรคระบาด นางแกร์รี ไรซ์ โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไชน่ามีเดียกรุ๊ปว่า จีนเป็นองค์เศรษฐกิจใหญ่มาก มีทรัพยากรและความตั้งมั่นที่จะรับมือกับผลกระทบจากการเกิดโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยามจำเป็น จีนมีช่องว่างการคลังที่เพียงพอสำหรับปฏิบัติการ และรัฐบาลจีนได้ลงมือปฏิบัติอย่างเพียงพอ เราเห็นว่าผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น และจะฟื้นฟูได้ โลกกับจีน - ยามตกทุกข์ได้ยาก ทำให้เห็นถึงมิตรแท้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้พบปะกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่กรุงปักกิ่ง ระหว่างการพบปะ นายสี จิ้นผิงได้กล่าวว่า “ยามตกทุกข์ได้ยาก ทำให้ได้เห็นถึงความจริงใจ” หลังเกิดโรคระบาดครั้งนี้ นานาประเทศได้แสดงความเข้าใจและการสนับสนุนจีนในการต่อต้านการแพร่ระบาดผ่านวิธีการต่างๆ เมื่อวันที่ 31 มกราคม พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชสาส์นแสดงความห่วงใยไปยัง ฯพณฯ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ทรงชื่นชมจีนในการใช้มาตรการที่เข้มแข็งต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ตอนหนึ่งในพระราชสาส์นระบุว่า “ข้าพเจ้าและประชาชนชาวไทยขอยืนยันถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กับประชาชนชาวจีนทั้งมวล ทั้งขออำนวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จทุกประการในการต่อสู้ฟันฝ่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้” ในการณ์นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีพระราชทานเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับฝ่ายจีน และส่งไปถึงเมืองอู่ฮั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในนามของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งสารมายังผู้นำจีน โดยนายกรัฐมนตรีของไทยยังประกาศให้กำลังใจจีนและโลกต่อสู้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสผ่านคลิปวีดีโอ สำหรับการเดินทางเข้าประเทศของคนจีนนั้น ประเทศไทยเป็นประเทศท่องเที่ยวที่ยืนยันว่ายินดีต้อนรับคนจีนที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงการให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการเลื่อนวีซ่าให้กับคนจีนที่ตกค้างในประเทศไทยเนื่องจากยกเลิกเที่ยวบิน นอกจากนี้ ไทยยังใช้ทีมแพทย์ที่มีความสามารถเฉพาะทางในการรักษาชาวจีนที่ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโควิด -19 ปัจจุบันมีหลายคนที่รักษาหาย และเดินทางกลับประเทศจีนแล้ว และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แวดวงต่างๆ ของไทยได้ให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง รวมถึงรัฐบาล แวดวงชาวไทยเชื้อสายจีน แวดวงธุรกิจได้บริจาคเงินและอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดจำนวนมาก ไม่ว่าบนท้องถนนในกรุงเพทฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ หรือว่าบนหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ทุกที่ก็จะมีข้อความให้กำลังใจที่ว่า “อู่ฮั่นสู้ๆ” “จีน สู้ๆ” นอกจากประเทศไทยแล้ว จนถึงเที่ยงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 11 ประเทศ อันได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ตุรกี ปากีสถาน คาซัคสถาน ฮังการี อิหร่าน เบลารุส อินโดนีเซีย และกองทุนเด็กสหประชาชาติได้บริจาคสิ่งของช่วยเหลืองานป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดก็ส่งมาถึงยังประเทศจีนแล้ว “แม้คนกับคนจะถูกโรคระบาดขวางกั้นให้ต้องแยกห่างกัน แต่ใจกับใจยังคงเชื่อมถึงกันเป็นหนึ่งเดียว” โรคภัยไข้เจ็บทำให้ประชาชนจีนที่ต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านมีความสามัคคีและรักกันแน่นแฟ้น ใช้ความได้เปรียบของระบอบปกครองและความพยายามของมวลชนทั้ง 1,400 ล้านคน ย่อมเอาชนะสงครามต้านโรคระบาดครั้งนี้ได้แน่นอน หวัง ฉี เจิ้ง หยวนผิง