"สมคิด"หารือภาคเอกชนแจงรัฐบาลพิจารณารอบด้านก่อนปลดล็อกเปิดธุรกิจ หวั่นเกิดระบาดรอบใหม่ เผยเตรียมโครงการฟื้นเศรษฐกิจเริ่มเดือนมิ.ย. เน้นสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจชุมชน ใช้เงินจากพ.ร.ก.เงินกู้ ในส่วนที่เตรียมไว้สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 22 เม.ย.63 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการหารือกับตัวแทนภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ โดยมีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ขณะนี้ประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโคงิด-19 ได้ดีที่สุด แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ยังคงต้องใช้มาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด ส่วนการเปิดสถานประกอบการและผ่อนปรนธุรกิจประเภทต่างๆรัฐบาลจะต้องพิจารณาอย่างรอบด้านโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสุขภาพประชาชนเป็นสำคัญ สำหรับมาตรการในการดูแลและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ตนได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ไปทำงานร่วมกับภาคเอกชน และท้องถิ่นต่างๆในการทำโครงการเกี่ยวกับการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy) โดยจะทำเป็นโครงการและมาตรการขนาดใหญ่ออกมาในช่วงเดือน มิ.ย. ต่อเนื่องจากการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ซึ่งในส่วนนี้จะใช้เงินจากพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งได้จัดสรรสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในวงเงิน 4 แสนล้านบาท "เศรษฐกิจในปีนี้ต้องประคองกันไปให้ผ่านปีนี้ไปให้ได้ เศรษฐกิจภายในในเรื่องของ Local Economy มีความสำคัญ เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี การท่องเที่ยวและการส่งออกจะกลับมาไม่ได้เร็วนัก จึงต้องเน้นในเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นสำคัญ" รองนายกฯ ยังพูดถึงเรื่องการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ซอฟโลท์) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปล่อยกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์และธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับเอกชนในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยในส่วนนี้ได้กำชับกับ ธปท.แล้วว่าให้ไปดูการกระจายการปล่อยสินเชื่อให้ทั่วถึง และผ่อนปรนเงื่อนไขให้กับผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อ ซึ่งนอกจากเอสเอ็มอีให้พิจารณาถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ประสบปัญหาเช่น ธุรกิจการบิน ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นต้น