คนข้างวัด / อุทัย บุญเย็น ในที่สุด ก็ได้เขียนถึงเรื่องหมอผีในชุด “มือปราบสัมภเวสี” ที่ผมได้ดูทางยูทูป (มือถือ) มานานแล้ว มือปราบสัมภเวสี เป็นเรื่องของ “หมอผี” ชื่อจริงคือ นายจีระพันธ์ เพชรขาว ชื่อที่รู้กันทั่วไป คือ “หมอปลา” ชื่อจริง เขียนเป็น จิรพันธ์ หรือจีรพันธ์ ก็มี (ไม่มีสระ ะ ที่ตัว ร ) แต่ชื่อหมอปลาง ใครๆก็รู้จักว่าเป็น “หมอผี” ที่กำลังมีแฟนเข้าไปติดตามดูทางทีวีและมือถือเยอะทีเดียว และกำลังถูกรุมโจมตีจากฝ่ายหมอดู ร่างทรง ศาลพระภูมิ หรือ “เจ้าที่” ทั้งหลาย ตลอดถึง พวกไสยศาสตร์ต่างๆ รอบทิศทาง เมื่อเร็วๆมานี้ หมอปลาถูกกลั่นแกล้งแพร่ข่าวทางโซเชียลว่า เขาตายอย่างอนาถ ด้วยฟ้าผ่า ต้นไม้ล้มทับตาย ข่าวนั้นระบุวัน เดือน ปี ที่เขาตายและเวลาตาย ตลอดถึงที่ตั้งศพ(วัด)ด้วย แต่เขาก็ออกมาปฏิเสธข่าวทางทีวี ด้วยตัวเป็นๆ พร้อมระบุว่า ใครเป็นคนเมคข่าวนั้นด้วย ปัจจุบัน รายการของหมอปลาถ่ายทำโดยบริษัทใหญ่ ชื่อ “กันตนา” แต่เป็นการถ่ายทำในรูปสารคดี ที่เป็นเรื่องจริงผสมละครทีวี ชวนติดตาม เป็นการถ่ายทำอย่างเปิดเผย มีคนมุงดูกิจกรรมของหมอปลามากขึ้นๆ จนทำให้หมอปลากลายเป็น “ดารา” ที่ได้รับความนิยมคนหนึ่งในปัจจุบัน ผมได้ติดตามดูการทำงานของหมอปลา โดยบังเอิญ ตั้งแต่เขาไม่ได้รับความสนใจจากใครๆ มีคนเข้าไปดูรายการของเขาจำนวนไม่ถึงพันถึงหมื่น จนกระทั่งปัจจุบัน มีวิวนับล้าน ตอนแรก ที่เข้าไปดู เห็นเป็นเรื่องแสดงแบบรายการ “ผี” ตอนดึกๆคิดว่าเป็นเรื่องการถ่ายทำจากการแสดง คิดว่าจะไม่ดูอีก แต่แล้วก็ได้ดู เพราะเอะใจว่า หมอปลาเป็น “หมอผี” ที่ไม่เรียกค่าตัวจากคนไปรักษาแม้แต่บาทเดียว และเขาแสดงตัวต่อต้านการทรงเจ้าเข้าผี ทำลายศาลพระภูมิ ประฌามพวกหมอดูและไสยศาสตร์ ที่หากินแปลกๆมากขึ้นทุกวัน หมอปลาเป็นชาวพุทธ ส่งเสริมการเคารพบูชารูปพระพุทธเจ้า พ่อแม่ และพระมหากษัตริย์ ตำหนิพระสงฆ์ที่ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เป็นหมอดู และหากินทางไสยศาสตร์ต่างๆ ว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ เป็นการทำผิดพระวินัยหรือผิดศีลของพระ แต่มีคนโจมตีหมอปลาว่า เป็นคนหากินทางความเชื่อเรื่องวิญญาณ ไม่ต่างอะไรกับพวกหมอผีเข้าทรง ด้วยว่า เขามีอาการแปลกๆ (หาวและอาเจียน) เมื่ออยู่ในที่ที่มีวิญญาณหรือไสยศาสตร์ เหมือนกับว่า มี “สัมผัสพิเศษ” หรือหยั่งรู้ “แหล่งพลังงาน (วิญญาณ)” ผิดไปจากคนทั่วไป หมอปลามีเมียสวยชื่อ “น้ำฟ้า” (เป็นคนเชียงราย-เชียงใหม่?) และมีฐานะดี เขามีบ้านและมีที่ดินกว้างขวางใช้บริการรักษาคนป่วยเป็นร้อย-สองร้อยคน โดยไม่เก็บค่ารักษาและการอยู่การกิน คนป่วยของหมอปลา เป็นคนป่วยที่หมดหวังจากโรงพยาบาลแผนปัจจุบันทั้งสิ้น และสมัครใจไปอยู่รักษากับเขาเอง หมอปลามีทีมงานช่วยงาน 2-3 คน เขามีรายได้จากการผลิตรายการ “มือปราบสัมภเวสี” (ซึ่งไม่ทราบว่า รายได้ช่องทางนั้นเป็นอย่างไร) มีคนศรัทธามอบเงินค่ารักษาให้แก่เขาเหมือนกัน หมอปลาก็รับให้เป็นพิธี แต่ก็มอบคืนเงินนั้นทั้งหมด เมื่อถูกโจมตีว่า เป็นคนหลอกลวง-ลวงโลกหากิน หมอปลาโต้ว่า ถ้าหลอกลวง ก็แสดงว่า มีการหารายได้จากการรับไล่ผี (เช่นเดียวกับพวกหมอดูที่แนะให้คนไปสะเดาะเคราะห์ และพวกเข้าทรง?) ฝ่ายโจมตีก็เงียบไป หมอปลาเรียนจบปริญญาทางวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี มีความคิดและความรู้ทางวิทยาศาสตร์พอสมควร เมื่อมีการต่อปากต่อคำกัน เขาจึงพูดมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์น่าฟัง และมักจะอ้างว่าเป็นชาวพุทธ นับถือความรู้(ธรรมะ) ของพระพุทธเจ้า (เช่นเดียวกับหมอดู ร่างทรง และนักไสยศาสตร์ทั้งหลาย) วิธีไล่ผีและไสยศาสตร์ของหมอปลา มักจะพาคนป่วยไปทำพิธีที่เมรุเผาศพและในบริเวณสุสานหรือป่าช้า ในตอนกลางคืน ซึ่งน่ากลัวและน่าตื่นเต้น หมอปลาทำพิธีอย่างเปิดเผย ท่ามกลาง “ไทยมุง” ให้กล้องจับภาพได้ทุกมุม (ไม่ทำลับๆล่อๆ หรือหวงห้ามคนดูอย่างพวกเข้าทรง ฯลฯ) และพิธีกรรมของหมอปลาไม่ซ้ำซากเหมือนกันทุกเคส จึงดูเพลินและชวนตื่นเต้น บางกรณี หมอปลาบอกว่า เป็นเรื่องทางวิญญาณ “สัมภเวสี” แต่บางกรณี เป็นเรื่องเครียดของผู้ป่วย ซึ่งแก้ด้วยการจับเส้นก็หาย มีคนป่วยหลายรายไปอยู่บ้านของหมอปลาเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน บางราย ญาติๆ ต้องล่ามโซ่ เพราะคนป่วยมีอาการคลั่งอันอาจจะเป็นอันตรายแก่คนอื่นได้ บางครั้ง(และบ่อยครั้ง) หมอปลาให้วิธีกดเส้นของผู้ป่วยอย่างแรง หรือมีการทุบและตบ (ด้วยฝ่ามือ) ที่หลังของผู้ป่วย ทำให้ถูกโจมตีว่าเป็นการใช้ความรุนแรงกับผู้ป่วย แต่หมอปลาก็อธิบายได้ หมอปลาเป็นคนมีบุคลิกเฉพาะตัว คือแต่งตัวง่ายๆ ไม่มียูนิฟอร์มเป็นพราหมณ์หรือเป็นหมอผีให้น่าเกรงขามแต่อย่างใด พูดจาค่อนข้างจะหยาบกระด้างกับคนป่วย คำพูดบางคำ หมอปลาพูดอย่างธรรมดาจนเคยตัว เช่น คำว่า “แดก” แทนที่จะพูดว่า “กิน” หรือ “รับประทาน” หรือคำว่า “เหี้ย” หมอปลาก็พูดโดยไม่เกรงใจใคร จนติดไปถึงเมียคนสวยของเขา แม้แต่ไปออกทีวีเพื่อให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆ หมอปลาก็ใส่กางเกงยีนส์-เสื้อคอกลม ง่ายๆ และใส่รองเท้าแตะไปออกรายการเสมอๆ ซึ่งพิธีกรก็ไม่ว่าอะไร ทำให้คนดูคุ้นเคยและรู้สึกเป็นกันเองกับหมอปลาโดยไม่รู้ตัว มีความรู้สึกว่า หมอปลามีความจริงใจที่จะช่วยเหลือคนป่วยด้วยจิตวิญญาณ เขาขยันเดินทางไปรักษาอาการคนป่วยโดยไม่เลือกว่าจะใกล้หรือไกลอย่างไร และยอมเสียค่าน้ำมันรถเอง เขาเคยเดินทางไปถึงประเทศพม่าและประเทศลาวเพื่อภารกิจรักษาคนป่วย ครั้งหนึ่ง ที่จังหวัดสกลนคร มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถูกหาว่าเป็นผีปอบ ไม่เป็นอันทำมาหากิน หมอปลาอาสาจะฟ้องร้องคนที่กล่าวหาสุภาพสตรีท่านนั้นเอง จะจัดหาทนายความให้เอง เขาแสดงอาการเป็นเดือดเป็นแค้นกับความไม่เป็นธรรมด้วยการหากินทางไสยศาสตร์ของคนพวกหนึ่งอย่างมีอารมณ์ เคยตั้งข้อสงสัยว่า หมอปลาไปได้วิชาไล่ผีและต่อสู้กับไสยศาสตร์ต่างๆได้จากไหนอย่างไร เขาเล่าเองว่า ระหว่างเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้น เขาไปอยู่วัด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้บวช(ดูจากการกราบแบบนักมวยของเขา ไม่เป็ฯการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ซึ่งพระจะสอนเป็นพิเศษ แสดงว่า เขาไม่เคยบวช) เขาคงจะค่อยๆเรียนรู้ด้วยตัวเอง และคงได้ร่ำเรียนจากพระบ้าง ประกอบกับเป็นคนสนใจคำสอนของพระพุทธเจ้าพอสมควร จึงมีความคิดว่า วงการทรงเจ้าเข้าผีและไสยศาสตร์ โดยเฉพาะพฤติการณ์ของคนหากินกับพระศาสนา นับวันจะแพร่หลายอย่างน่าเป็นห่วง น่าจะได้มีการป้องปรามกันบ้าง คิดดูแล้ว ก็น่าเป็นห่วง เพราะนับวัน ความงมงายของชาวพุทธไทยก็ยิ่งจะขยายตัว โดยเฉพาะฝ่ายพระสงฆ์หรือวัดก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำการเสกเป่า รดน้ำมนต์ สร้างเครื่องรางของขลัง ฯลฯ กันใหญ่ สวนทางกับแนวคำสอนของพุทธศาสนาขึ้นทุกวัน บนหิ้งพระในห้องนอนชาวพุทธทุกวันนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “มากมาย คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจก็ไม่น้อย และนับวัน จิตใจของคนไทยจะอ่อนแอลงเป็นช่องทางให้มีการหลอกลวงได้ง่ายขึ้น” หมอปลาเห็นว่า การมีองค์ (เทพ) สิงอยู่ในตัวคนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงด้วยเล่ห์เพทุบาย เป็นการมอมเมาประชาชนเขาเห็นว่า เทวดาในสวรรค์ถูกแอบอ้างเพื่อหากินมากกว่า เพราะเทวดาจริงคงไม่มีเวลามาเข้าทรงคน ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างที่เป็นกันอยู่ เขาให้ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเทวดามาอยู่ตามศาลที่มนุษย์สร้างให้จริง ก็แสดงว่า เทวดาไม่มีฤทธิ์จริง เพราะช่วยตัวเองยังไม่ได้ คิดดูก็เห็นจะจริง เพราะเทวดาที่มนุษย์บูชาตามศาล (ศาลพระภูมิ) เมื่อศาลถูก(หมอปลา) ทำลาย แทนที่จะทำอะไรโต้ตอบผู้ทำลายบ้าง ก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยาใดๆ ปล่อยให้เขาลบหลู่อยู่ข้างเดียว แต่แน่นอนว่า หมอปลาก็จะต้องมีศัตรูอยู่รอบข้าง เพราะปฏิบัติการเขาไปทำลายผลประโยชน์ (และทางทำมาหากิน) ของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้ามือหวย คนเข้าทรง วงการเครื่องรางของขลัง นักไสยศาสตร์ต่างๆ เช่น พวกลงเลขยันต์ พวกเสกเป่า พวกหากินทางสะเดาะเคราะห์ พวกหมอดู พวกแก้กรรม เป็นต้น หรือแม้แต่พวกค้าขายศาลพระภูมิและโรงงานทำเหรียญ และเครื่องรางของขลังทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่มากมาย เพราะแม้แต่พระสงฆ์ อย่างหลวงพ่อปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์) ที่เคยมีบทบาทเป็นปฏิปักษ์กับวงการค้าขายความงมงายในอดีต ก็แทบจะไปไม่รอดอย่างที่รู้ๆกัน! ก็เคยเป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว อย่างไรก็ตาม อยากจะให้หมอปลาทำความเข้าใจเรื่องวิญญาณให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ คำว่า “สัมภเวสี” น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของหมอปลา (และของชาวพุทธทั่วไป) ชื่อรายการ “มือปราบสัมภเวสี” น่าจะแก้เป็น “มือปราบอสุรกาย” มากกว่า เพราะคำว่า สัมภเวสี หมายถึงผู้แสวงหาภพ หรือ “ที่เกิด” แต่ในทางพุทธศาสนา สัมภเวสี คือ สัมภวะ (การเกิด) + เอสี (ผู้แสวงหา) พุทธศาสนา ถือว่า วิญญาณหลังจากชีวิตตายลง มีภพทันที ไม่มีการแสวงหาภพหรือ ภูมิที่จะเกิดชีวิต(สัตว์โลก) ที่หมอปลาเข้าใจว่าเป็นสัมภเวสีนั้น เป็นสัตว์ประเภท "โอปปาติกะ" (อ่านว่า "โอปะปาติกะ เป็นคำเดียวกับ “อุบัติ”) คือ เปรตและอสุรกาย โดยเกิดกายทันที (เช่นเดียวกับเทวดาแต่คนละมิติ) หรือที่ใช้คำว่า “ผุดเกิดขึ้น” นั่นเอง อสุรกายนั้น เป็นสัตว์ประเภทหลวงลวงหากิน จึงอยากให้รายการ “มือปราบสัมภเวสี” ของหมอปลาเปลี่ยนเป็น “มือปราบอสุรกาย” แทน ยังมีเรื่องต้องเขียนถึง “หมอปลา” อีกครับ