ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล เด็กคือ “ผ้าขาว” แต่สังคมรอบข้างคือสีที่ระบายให้เป็นสีต่างๆ ตระกูลของขาวน่าจะเรียกว่าคือ “ผู้ดีเก่า” ขาวเล่าว่าทวดของขาวเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 รับราชการในกระทรวงๆ หนึ่งจนมียศเป็น “คุณพระ” ปู่ของขาวเกิดในสมัยรัชกาลที่ 6 รับราชการทหาร จนได้ยศเป็น “ท่านขุน” พ่อของขาวเกิดที่ค่ายทหารแถวบางซื่อก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเล็กน้อย ย่าก็เป็นผู้ดีเก่าเหมือนกัน แต่เสียชีวิตหลังจากที่พ่อเกิดได้ไม่นาน พ่อถูกบังคับให้เข้าโรงเรียนนายสิบทหาร และรับราชการเป็นทหารต่อมาเหมือนปู่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปู่ก็เกษียณจากราชการ มียศเป็นร้อยโท ต้องออกจากบ้านหลวง จึงต้องมาอยู่ที่อาคารสงเคราะห์ห้วยขวางที่ทางราชการให้สิทธิ์แก่ข้าราชการเป็นพวกแรกๆ (เหมือนตาน้อยของผมที่เป็นตำรวจ) ใน พ.ศ. 2500 พ่อของขาวติดยศเป็นร้อยตรี ต้องไปเป็นผู้บังคับกองร้อยที่เชียงใหม่ ไปเจอกับแม่ของขาวที่ลำปาง แม่ของขาวเป็นสาวป่าซาง ร่ำลือว่ามีความงามเป็นอย่างมาก ปีต่อมาก็ให้กำเนิดขาว แต่พ่อก็เหมือนกับทหารหัวเมืองส่วนใหญ่ ที่ใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมา จนแม่ทนอยู่ด้วยไม่ไหว หนีไปแต่งงานกับคนอื่น พ่อต้องหอบหิ้วลูกชายมาให้ปู่เลี้ยง แล้วพ่อก็กลับขึ้นไปเชียงใหม่ ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในปีต่อมา ขาวจึงเป็นลูกกำพร้า ปู่อยู่กับป้าที่เป็นสาวโสด ทั้งปู่และป้าเป็นคนอารมณ์ร้าย มักจะระบายอารมณ์เอากับขาวบ่อยๆ หลายครั้งขาวจะถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียวจนเนื้อตัวลายพร้อย แต่ผมไม่เคยเห็นขาวส่งเสียงเจ็บปวด จะมีก็แต่คราบน้ำตาที่ไหลนองทั้งสองแก้ม ตอนที่ผมกลับมาจากบ้านนอกมาเข้าโรงเรียนที่กรุงเทพฯใน พ.ศ. 2511 ผมมักจะเจอกับขาวในตอนเช้าของบางวัน (เข้าใจว่าขาวไม่ได้ไปโรงเรียนทุกวัน คือขาดโรงเรียนบ่อยๆ) เราขึ้นรถเมล์ด้วยกัน ลงรถเมล์พร้อมกัน แต่แรกๆ ยังไม่ได้คุยกัน เพราะเรียนกันคนละห้อง ตอนเย็นบางวันก็ได้เจอกัน พอลงรถเมล์ก็เดินเข้าบ้าน บ้านของขาวอยู่เยื้องๆ กับบ้านของผม แต่ไม่เคยเห็นขาวออกมาเล่นกับเด็กคนอื่นๆ มีบางครั้งมีคนชวนขาวให้เล่นด้วย แต่เพื่อนก็ไม่ชวนในครั้งต่อไป เพราะเพื่อนบอกว่าขาวเล่นแรง ขาวจึงมักจะไปไหนมาไหนคนเดียว บางทีก็กลับบ้านตอนมืดค่ำ และค่ำนั้นถ้าใครเดินผ่านไปที่หน้าบ้านของขาว ก็จะได้เสียงปู่หรือป้า หรือทั้งปู่และป้า ด่าว่าขาว พร้อมกับเสียงไม้เรียวขวับๆ โดยไม่ได้ยินเสียงขาวโต้ตอบหรือร้องกระซิกแม้แต่น้อย วันแรกที่ผมสนิทสนมกับขาวก็คือ วันที่ผมไม่สบายต้องหยุดโรงเรียน ส่วนขาวก็ขาดเรียนตามเคย โดยวันนั้นป้าของขาวต้องพาปู่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษาตามปกติของคนแก่ ที่บ้านผมก็ไม่มีใครอยู่เช่นกัน พวกผู้ใหญ่ไปทำงานกันหมด ส่วนพี่ๆ (ลูกของตาน้อยและยาย)ก็ไปโรงเรียนกันหมด ใกล้ๆ เที่ยงผมสร่างไข้ลงบ้างแล้วก็ออกมานั่งหน้าบ้าน มองออกไปนอกรั้วระแนงเห็นขาวถือหนังสะติ๊กยิงขึ้นไปบนต้นมะขามเทศหน้าบ้าน นกกระจอกฝูงหนึ่งบินกระเจิงออกมา โผหนีมาที่ต้นมะม่วงหน้าบ้านผม ขาวก็ยังตามมาไล่ยิงไม่หยุด ผมจึงพูดดังๆ ออกไปว่า “ยิงนกทำไม” ก็ไม่มีเสียงตอบ สักครู่ขาวก็มายืนที่หน้าบ้านผม เอามะม่วง 4-5 ลูกมากองไว้หน้าประตู ผมจึงออกไปดู ได้ยินขาวพูดขึ้นว่า “มีอะไรกินไหม ขอข้าวกินหน่อยสิ” ผมเดินเข้าไปในบ้านตักข้าวต้มกับไข่เจียวมาให้ขาว ขาวตักกินอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดชาม แล้วพูดขึ้นว่า “อยากดูอะไรที่บ้านฉันไหม” ผมฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้น อยากรู้ว่าขาวจะพาไปดูอะไร เพราะคนในซอยและเด็กๆ มักจะพูดถึงบ้านของขาวในทางน่ากลัว ว่าเป็นบ้านผีสิงบ้าง เป็นบ้านอาถรรพ์บ้าง ผมจึงเดินตามขาวไป บ้านทุกหลังที่นี่จะหน้าตาคล้ายๆ กัน ที่ดินหน้ากว้างประมาณ 8 เมตร ลึก 10 เมตร ด้านหลังจะมีคลองกว้างสัก 6 เมตร กั้นกับหลังบ้านของอีกซอยหนึ่ง ตัวบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ ขนาด 6 คูณ 6 เมตร หลังคากระเบื้องซีเมนต์รูปขนมเปียกปูน ชั้นล่างมี 1 ห้องนั่ง 1 ห้องนอน ด้านบนมี 1 ห้องใหญ่(สามารถแบ่งเป็นห้องนอนได้ 2 ห้อง) มีห้องน้ำข้างล่าง 1 ห้อง อยู่ตรงเชิงบันได มีทางออกไปหลังบ้านเป็นลานซีเมนต์ขนาด 2 คูณ 3 เมตร ที่หลายบ้านต่อฝาขึ้นเป็นห้องครัว ด้านที่เป็นห้องน้ำและครัวจะติดกับบ้านอีกหลังที่เป็นเรือนแฝดประกบคู่กัน บ้านของขาวสะอาดและเป็นระเบียบ ผิดคาดกับที่ผมเคยได้ยินจากผู้คนแถวนี้ ขาวบอกว่าป้าเป็นคนชอบทำงานบ้าน จะเก็บกวาดเช็ดถูทั้งวัน ขาวนอนที่ห้องนอนเล็กชั้นล่างติดกับห้องน้ำ ปู่กับป้าอยู่ชั้นบนคนละห้อง ตรงราวบันไดทางขึ้นชั้นบนมีรูปถ่ายปู่สมัยติดยศร้อยโท เหนือขึ้นไปอีกนิดเป็นรูปจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเหนือสุดคือรูปพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินีนาถ ในห้องนั่งมีชุดรับแขกไม้แบบที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น มีตู้กระจกเตี้ยๆ วางโทรทัศน์ขาวดำขนาด 20 นิ้ว ยี่ห้อเทเลฟุงเก้น กับวิทยุยี่ห้อบลาวฟุ้ง สวยงามทีเดียว ในตู้กระจกมีตุ๊กตาชาวเขาเผ่าต่างๆ ทำด้วยผ้าไหมพรมพันเส้นลวด สูงสักฝ่ามือหลายตัว ขาวบอกว่าเป็นของสะสมของปู่เพื่อรำลึกถึงลูกชาย ซึ่งก็คือพ่อของขาวที่ไปรับราชการอยู่ทางภาคเหนือนั้น ขาวพาเข้าไปในห้องนอนของขาว เอากระป๋องสังกะสีใส่ขนมปังขนาดต่างๆ จากใต้เตียงมาวางเรียงบนที่นอน พอเปิดฝาออกมาก็เห็นตุ๊กตาที่หล่อจากพลาสติกสีต่างๆ เป็นรูปฮีโร่ทั้งหลายจากหนังทีวีที่ดังๆ ในยุคนั้น เช่น หุ่นอภินิหาร ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน และกาโม่ยอดมนุษย์กายสิทธิ์ เป็นต้น รวมถึงสัตว์นานาชนิดอีกหลายสิบตัว ซึ่งพอผมถามขาวว่า “ซื้อมาจากไหนหรือ” ขาวก็ตอบว่า “ไม่ นี่ขโมยมาหมดนี่เลย” ไม่เพียงแต่ตุ๊กตาพลาสติก(สมัยนั้นบางคนก็เรียกว่า “ตุ๊กตุ่น”) แต่มีของเล่นอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งรถใส่ถ่านวิ่งได้เอง เครื่องบินจำลอง ปืนปลอม ดินสอ ปากกา ฯลฯ ซึ่งขาวก็ไม่ได้ซื้อมาอีกเช่นกัน ขาวถามผมว่าอยากได้บ้างไหม เดี๋ยวจะพาไปเอา ผมกำลังอยู่ในภวังค์อ้ำอึ้ง จึงพยักหน้าไปอย่างงงๆ แล้วผมก็กลับมาบ้าน กินข้าวกลางวันแล้วก็นอนต่อไปจนบ่าย คิดมากจนกลุ้มใจว่า ของเล่นมากมายที่ขาวขโมยมาคงต้องใช้เวลา “ขโมย” นานพอสมควร ขาวทำได้อย่างไร และทำไมถึง “กล้า” ขนาดนั้น ตอนหลังเมื่อผมได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ จึงได้รู้สาเหตุที่ขาวต้องทำเช่นนั้น