พี่สาวพร้อมญาติ เผยสุดช้ำน้องชายเสียชีวิตจังหวัดน่าน จะเดินทางไปรับศพเจ้าหน้าที่บอกต้องกักตัว 14 วันก่อนรับศพได้ แต่โรงพยาบาลบอกเก็บได้แค่ 5 วัน ติดต่อวัดในพื้นที่เพื่อเผาตามพิธีแต่ถูกเจ้าอาวาสปฏิเสธ บอกชาวบ้านไม่ให้เผา เหตุอาจกลัวว่าตายเพราะติดเชื้อโควิด-19 พยายามติดต่อวัดดังจังหวัดนครปฐม โดนปฏิเสธซ้ำ แบบไร้เหตุผล ตัดใจทั้งกู้ทั้งยืม เช่ารถพร้อมซื้อโลงแบกข้ามหลายจังหวัดจากน่าน สู่นครปฐม กลับมาขอพึ่งใบบุญวัดไผ่ล้อมเผาฟรี พ้อชีวิตรันทดไร้เงินเก็บกลายเป็นคนอีกชนชั้น ญาติลงทะเบียนเยียวรับ 5 พัน เป็นแท็กซี่แต่ถูกปฏิเสธเป็นเกษตรกร วันที่ 15 เม.ย. 63 เรื่องราวสะเทือนอารมณ์ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้รับการเปิดเผยเมื่อ ครอบครัว โพธิบุตร ได้เดินทางนำศพของ นายศิริชัย โพธิบุตร อายุ 41 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 96 ม.4 ต.คลีกลิ้ง อ.ศิลาลาด จ.ศรีษะเกษ เพื่อมาติดต่อขอเผาศพที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยบรรยากาศ ที่มีการรวมญาติเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ซึ่งมีพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม นำคณะสงฆ์มาร่วมประกอบพิธีสวดบังสุกุล และนำร่างขึ้นเมรุ เพื่อทำการฌาปนกิจทันทีโดยไม่มีการสวดพระอภิธรรม ข้ามคืนตามปกติและทางคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม ได้มีการรวมรวบปัจจัยมอบให้กับทางญาติจำนวนหนึ่งเพื่อใช้เป็นทุนสำหรับการจัดเก็บอัฐิของผู้เสียชีวิต โดยนางจิราพร โพธิบุตร อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/329 ม.8 ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม บอกว่า ศพที่นำมาขอเข้าโครงการสวดเผาฟรี ที่วัดไผ่ล้อมนี้เป็น คือนายศิริชัย หรือ นาย เป็นน้องชายแท้ๆ ของตนเองซึ่งได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลน่าน ซึ่งได้ป่วยด้วยอาการมีไข้ ตัวสั่นและล้มไม่ได้สติ ที่บ้านเช่า ในพื้นที่อำเภอเมืองน่าน โดยมีเพื่อนบ้านได้แจ้งให้รถพยาบาลมารับตัวไปตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม หลังจากมีอาการป่วยมาตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม โดยหมดสติและฟื้นมารับรู้อาการบ้างตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล โดยเมื่อวันที่ 11 เมษายน แพทย์ได้โทรมาบอกตนเองว่า อาการของนายศิริชัย หรือนาย ทรุดหนักซึ่งตนเองบอกกลับไปว่า ถ้าน้องชายจะไปไม่ต้องยื้อเพราะได้มีการบอกสั่งลากันไปแล้วทางโทรศัพท์ ก่อนหน้า นางจิราพร บอกต่อว่า หลังจากที่ตนเองทราบว่าน้องชายนั่นป่วยหมดสติไป ในวันที่ 11 เมษายน ก็ทราบแน่แล้วว่าน้องชายจะไม่รอด ก็ได้พยามยามจะติดต่อขอไปรับศพน้องชาย แต่ทางเจ้าหน้าที่ทางโรงพยาบาลน่านบอกกลับมาว่า ตนเองจะเดินทางมาก็ได้แต่ต้องมีการกักตัว 14 วันโดยมีสถานที่และจัดอาหารไว้ให้พร้อมก่อนที่จะเข้ามาในพื้นที่ของจังหวัดน่านได้เพราะยังไม่มีผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งตนเองไม่สามารถไปได้เพราะเงินไม่มี และไม่มีงานหลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทั่งน้องชายได้เสียชีวิต ก็ได้ประสานขอให้รถโรงพยาบาลมาศพมาส่งที่จังหวัดนครปฐมเพราะญาติอยู่ที่นี่ทั้งหมด โดยได้ไปกู้เงินมา 1 หมื่นบาทและไปยืมเพื่อนมาเป็นทุนในการจัดงานเพราะตนเองไม่มีเงินเก็บแล้ว แต่ก็สู้ราคาไม่ไหว เพราะแค่ค่ารถ ก็มีราคา 1.5 หมื่นบาท ค่าโลงศพอีก 6 พันบาท และได้สอบถามโลงศพราคาถูกคือ ราคา 3 พันบาท แต่ก็ได้มีการแจ้งกลับมาอีกว่าโลงศพแบบราคาถูกอาจจะไม่พอใส่ร่างน้องชายได้ จากนั้นตนเองได้ประสานกับเพื่อนน้องชายว่าจะขอให้นำศพน้องชายไปเผาที่สำนักสงฆ์ ในหมู่บ้านนาท้อ ต.บ้านสะเนียน อ.เมือง จ.น่าน ซึ่งได้โทรศัพท์ไปปรึกษากับเจ้าอาวาส ก็ได้รับการปฏิเสธมาว่า ไม่รับโดยให้เหตุผลว่า ชาวบ้านไม่ให้เผา ซึ่งตนเองพยายามจะอธิบายว่าน้องชายไม่ได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีใบรับรองการเสียชีวิตจากโรงพยาบาลน่าน และแพทย์ พยาบาล พร้อมจะยืนยันให้ ว่าเป็นการตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด โดยมีอาการไตวายตนเองคิดว่าอาการที่น้องชายป่วยนั้นทำให้ชาวบ้านวิตกและลือกันไปต่างๆนานา จากนั้นได้ให้ญาติประสานไปที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าอาวาสสนิทกับทางเจ้าอาวาสก็ได้รับคำตอบว่าไม่ แต่ไม่มีเหตุผลบอกว่าเพราะอะไร กระทั่งมาไล่หาจากข่าวพบว่า วัดไผ่ล้อมได้มีโครงการและประกาศเอาไว้ว่า รับเผาศพทุกกรณี และมีโครงการเผาฟรี จึงได้ว่าจ้างรถไปรับศพน้องชายจาก โรงพยาบาลน่าน มาเผาที่นี่และเป็นที่พึ่งสุดท้าย โดยเมื่อมาถึงเจ้าอาวาสได้ สงเคราะห์เผาให้ฟรีและมอบเงินมาให้ด้วย ทำให้จากที่ทุกข์นั้นมีกำลังใจขึ้นมาก “ถามว่าตอนนี้มีเงินเก็บไหม ไม่มี เหลือแต่เงินกิน รายได้เราหายไปหมดทั้งสามีและตัวเอง น้องสาวน้องเขยก็ได้ไม่มีรายได้ พอมาเจอน้องชายเสียชีวิต เราก็พยายามติดต่อพยาบาลขอดูภาพและโทรคุยกับน้องจนเขาตายไป โดยไม่ได้เจอกันหลายปีเราทุกข์มาก น้อยใจว่าทำไม่ชะตาชีวิตมาเป็นแบบนี้ เสียใจกับหน่วยงานที่ให้เราเข้าไปรับศพก่อนน้องตายแต่ต้องกักตัว 14 วัน พอเงินไม่มีเรากลายเป็นคนอีกชนชั้นไปแล้ว ลงทะเบียนรับการเยียวยา ก็ได้ของตนเองคนเดียว น้องสาว น้องเขย ไม่ได้รับเขาขับแท็กซี่ก็ถูกปฏิเสธว่าเป็นเกษตรกร รถพยาบาลที่จะมาส่งก็ต้องไปหาที่อื่นจากจังหวัดนครนายก ในราคา 1.35 หมื่นพร้อมโลงศพก็หมดไปแล้ว ทำไมมีมีใครช่วยเราเลยและไม่ฟังเราว่าน้องชายเราไม่ได้ตายเพราะไวรัสโควิด-19 แต่วัดไผ่ล้อมให้กำลังใจและให้งานเราไปเย็บผ้าหน้ากากที่วัดจัดทำไว้ ก็มีความหวังมาบ้างและไม่คิดว่าชีวิตจะมาเจอเรื่องแบบนี้” นางจิราพร พูดทั้งน้ำตาปิดท้าย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่ามาทราบเรื่องจากพระที่รับดูแลฌาปนสถาน ก็เห็นใจโยมและบอกว่าวัดไผ่ล้อม ได้จัดพิธีสวด เผาฟรี ทุกกรณี ไม่ว่าจะเสียชีวิตด้วยโรคอะไร เพียงแต่ขอให้มีหลักฐานครบก็จัดดำเนินการได้โดยโครงการนี้ทำมาแล้ว 20 ปีตั้งแต่หลวงพ่อพูล ท่านยังอยู่และอาตมาเองก็มารับสานต่อได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ซึ่งกรณีนี้ก็ได้ทราบว่าโยมนั้นไม่มีงานขาดรายได้แต่พอดีว่าเป็นช่างเย็บผ้าพอดีก็ได้หางานในการเย็บผ้ามัสลีน หน้ากากอนามัย นะปัดตลอดไปให้ เพื่อให้ช่วยกันทำมีรายได้ในครอบครับประทังไปก่อน ซึ่งที่เห็นก็น่าสงสารเพราะมีการเดินทางมากันเองมีการหุงข้าวมานั่งกินหน้าเมรุ แบบเรียบง่าย ซึ่งตอนนี้วัดไผ่ล้อมก็ได้ทำงานช่วยสังคมเป็นการทำงานงานด้านสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งเรื่องนี้ก็พระก็ต้องช่วยกันและขอให้กำลังใจโยมทุกคนให้ผ่านวิกฤติใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัว เป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นอุปสรรคขวากหนามที่ยิ่งใหญ่ ให้สามารถผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้ทุกคนด้วย