สัญญาณดีผู้ป่วยใหม่ลด แต่พบติดเชื้อในครอบครัว-ติดจากคนกลับจากนอก 8% เพิ่มเป็น 23% ทั้งเว้นระยะห่าง -สวมหน้ากาก-ล้างมือ เริ่มย่อหย่อน ย้ำเรื่องสำคัญต้องทำเพื่อป้องกันติดเชื้อเพิ่มอีก
นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 92 คน รวมผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านสะสมแล้ว 1,497 คน ถือเป็นสัญญาณดีที่นับวันจะมีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่มมากกว่าผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล และวันนี้ยังพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 30 ราย ทั้งนี้ เมื่อมีการเปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยในช่วงเดือนมี.ค. และ เม.ย. พบว่าเดือนมี.ค. พบผู้ป่วย 1,054 ราย ซึ่งในเดือนเม.ย.จนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยแล้ว 460 ราย และเมื่อพิจารณาสาเหตุการติดเชื้อจะพบว่า การติดเชื้อภายในบ้านหรือติดจากผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเป็นเหตุทำให้มีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้น โดยจากเดิมในเดือนมี.ค.อยู่ที่ 8% แต่เดือนเม.ย.ขยับขึ้นไปถึง 23 % จึงสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โซเชียลดิสแทนซิ่ง ทำได้ลดลง ซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ หรือย่อหย่อนต่อการรักษาระยะระหว่างกันและปฏิบัติตัวตามหลักสุขอนามัยที่ดี
อีกทั้งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันประชาชนสวมใส่หน้ากากผ้าเมื่อต้องออกไปถายนอกลดลง ซึ่งจากเดิมเคยทำได้มากกว่า 80 % ตอนนี้เหลือเพียง 60-70 % เท่านั้น รวมถึงการล้างมือจากเดิมเคยทำได้ 94 % ลดลงเหลือประมาณ 80-90 % เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และข้อปฏิบัติต่างๆที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนควรให้ความสำคัญและปฏิบัติตาม เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศ
สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศที่กักตัวอยู่ใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และโรงแรมที่ร่วมกับรัฐบาล 284 ราย และ 135 ราย รวม 419 ราย เบื้องต้นทั้งหมดมีอาการดีและไม่พบว่ามีใครติดเชื้อโควิด-19 จึงอยากขอให้ประชาชนยึดแนวทางปฏิบัติตัวตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ กินร้อน ช้อนกลาง ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ภายนอก ไม่ไปที่แออัด รักษาระยะห่างต่อกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มอีก
ด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนระหว่างวันที่ 2-8 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยถามว่า "เมื่อวานนี้ออกจากบ้านหรือไม่?" พบว่าประชาชนจำนวน 47.1% ยังออกจากบ้าน โดย 94.2% ระบุเหตุผลว่า จำเป็นต้องออกไปทำงาน ซื้ออาหาร/เครื่องใช้ ออกไปหาหมอ หรือทำธุรกรรมบางอย่าง โดยในจำนวนนี้ 9.4% ใช้บริการขนส่งสาธารณะในการเดินทาง ขณะที่ประชาชนอีก 11.1% ระบุว่า อยู่บ้านแต่มีคนมาหา ส่วนอีก 41.8% อยู่บ้านและไม่มีคนมาหา
ส่วนการป้องกันตัวเองทั้งในและนอกบ้าน พบว่า ประชาชนจำนวน 85.2% ล้างมือหรือใช้แอลกอฮอล์เจลทุกครั้ง ขณะที่ 76.7% ใส่หน้ากากทุกครั้ง ส่วนอีก 62.7% รักษาระยะห่าง 1-2 เมตร เมื่อพบคนอื่น และ 59.8% ระวังไม่เอามือไปจับหน้าตัวเอง และเมื่อพิจารณาปัจจัยในการดูแลตัวเอง พบว่าแต่ละอาชีพไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ภาคการเกษตรอาจจะเว้นระยะห่างทางสังคมได้มากกว่าอาชีพอื่น โดยอยู่ที่ 74.42% เพราะการทำงานสามารถอยู่ห่างกันได้ ส่วนนักเรียน-นศ. ยังลดการเว้นระยะห่างได้น้อย เนื่องจากยังเป็นกลุ่มวัยที่ต้องการมีปฏิบัติสัมพันธ์