“ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างมากที่พระองค์ท่านมีให้กับองค์การสื่อมวลชน นอกจากนี้พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทหลายครั้งด้วยกัน เป็นความประทับใจและเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่พระราชทานพระกรุณากับเราที่เป็นคนธรรมดา พระองค์ทรงสอน ทรงเล่าเรื่องการทรงงาน ถือเป็นบุญแก่พวกเรามาก”
สำหรับ “รื่นรมย์คนการเมือง” ในสัปดาห์นี้ ขอพามาทำความรู้จักมุมสบายๆของ “มานิจ สุขสมจิตร” หรือ “อาจารย์มานิจ” ในวัย 78 ปี อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ดีกรีอาจารย์สอนพิเศษด้านกฎหมายและจริยธรรมสื่อมวลชน และยังเป็น “ครูข่าว” ของวงการสื่อมวลชน
ทั้งนี้ มานิจนั้น เคยดำรงตำแหน่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และล่าสุดเมื่อปี 2557 อดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ปี 2517-2518 อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ปี2540 -2544 อดีตประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งอาเซียน ปี 2526-2527 และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนหนังสือหลายมหาวิทยาลัย โดยสอนวิชากฎหมายและจริยธรรมสื่อมวลชน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งบรรณาธิการอาวุโสของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พร้อมเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่สื่อมวลชนรุ่นหลังๆมาตลอดระยะเวลา จนเปรียบเสมือนครูข่าวคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
@ รำลึกพระมหากรุณาธิคุณต่อ “คนสื่อ”
มานิจ ได้เล่าให้ฟังถึงความประทับเมื่อครั้งทำงานอยู่ที่สมาคมนักข่าวฯ ว่าได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2514 เมื่อทรงเสด็จมาวางศิลาฤกษ์ที่สมาคมฯ ซึ่งเมื่อก่อนยังเป็น สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขณะนั้นตนเป็นรองเลขาธิการสมาคมฯ พระองค์ทรงเสด็จไปวางศิลาฤกษ์ ตอนเสด็จไป อาจารย์ เสฐียร พันธรังษี ซึ่งอยู่หนังสือพิมพ์ชาวไทย ได้กราบบังคมทูลแนะนำกรรมการในสมาคมฯ
“ เมื่อมาถึง อาจารย์เสถียร ก็แนะนำว่านี่คือคุณมานิจ สุขสมจิตร พระองค์ท่านก็ถามผมว่าทำอะไรอยู่ ผมก็บอกว่าทำงานอยู่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พระองค์ท่านก็พยักพระพักตร์และทรงพระดำเนินต่อไป”
และในปี 2516 พระองค์ทรงเสด็จฯ อีกครั้งหนึ่งที่สมาคมนักข่าวฯ เพื่อเปิดอาคารที่ทำการสมาคมฯ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ตอนเสด็จพระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องการถ่ายรูปมาก โดย คุณประดิษฐ์ ตันกำเนิด ช่างภาพหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นผู้ดูแลในการอัดภาพถวาย มีการฉายพระรูปตั้งแต่พระองค์ท่านเสด็จเข้าไปในบริเวณสมาคมนักข่าวฯ เสร็จแล้วก็ได้รีบไปอัดรูปเพื่อที่จะนำมาถวายเวลาพระองค์เสด็จกลับ พระองค์ท่านก็แปลกพระทัยว่าทำไมถึงทำได้รวดเร็ว
โดยนายกสมาคมฯขณะนั้นได้กราบบังคมทูลว่ามีห้องมืดอยู่ที่นี่ พระองค์ท่านจึงขอไปดูห้องดังกล่าว ซึ่งห้องมืดที่สมาคมฯตอนนั้นก็คือห้องน้ำ โดยคุณประดิษฐ์เมื่ออัดรูปเสร็จแล้วด้วยอากาศที่ร้อนก็ถอดเสื้อนอกออกพอพระองค์ท่านเสด็จขึ้นไปดู คุณประดิษฐ์ก็ใส่เสื้อไม่ทันเลย พระองค์ท่านก็เห็นการทำงานและพยักพระพักตร์เมื่อเห็นว่าทำกันแบบนี้เอง และเสด็จพระราชดำเนินกลับ
“ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างมากที่พระองค์ท่านมีให้กับวงการสื่อมวลชน นอกจากนี้พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทหลายครั้งด้วยกัน เป็นความประทับใจและเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่พระราชทานพระกรุณากับเราที่เป็นคนธรรมดา พระองค์ทรงสอน ทรงเล่าเรื่องการทรงงาน ถือเป็นบุญแก่พวกเรามาก”
มานิจ ยังเล่าด้วยว่าตนเองนั้นยึดแนวคำสอนของพระองค์ที่ให้เรายึดมั่นต่อวิชาชีพ มีพระบรมราโชวาทหนึ่งที่จำความได้คือ เมื่อเดือนมิ.ย. 2510 พระองค์เสด็จอเมริกาหลายรัฐ ก่อนจะเสด็จกลับได้มีการถวายพระกระยาหารที่นครนิวยอร์ก ในงานคืนนั้นมีทั้งประธานาธิบดี แขกผู้ใหญ่ พ่อค้า ประชาชน รวมทั้งเจ้าของสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ด้วย พระองค์ท่านรับสั่งขอบใจการต้อนรับที่จัดขึ้น
“พอมาถึงสื่อมวลชนพระองค์ท่านบอกว่า สื่อมวลชนเป็นงานที่มีเกียรติ การที่จะเขียนอะไรลงไปนั้น ขอให้ใช้ความระมัดระวังในการเขียน เพราะบางทีคำพูดเพียงน้อยนิดอาจไปทำลายงานของผู้มีความปรารถนาดีลงไปได้
และพระองค์ท่านเปรียบว่าการพูดอะไรเหมือนเวลาหมอจะฉีดยา ต้องไล่ฟองอากาศออกให้หมด ถ้าฟองอากาศเข้าไปอยู่ในเส้นเลือดแล้ว อาจจะปลิดชีวิตคนลงไปได้ และเหมือนน้ำตาลหวานๆเพียงก้อนเดียว ถ้าใส่ลงไปในถังน้ำมัน ก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์ระเบิดได้
ดังนั้นต้องระมัดระวังในการใช้คำพูด นี่คือสิ่งที่พระองค์ท่านสอน นอกจากนี้ก็ยังมีคำสอนอีกมากจากที่พระองค์เสด็จไปเปิดสมาคมนักข่าวฯครั้งนั้น”
@ ความอบอุ่นในครอบครัว
มาที่เรื่องของครอบครัว มานิจ บอกว่าตอนนี้อายุ 78 ปีแล้ว เพิ่งผ่านวันครบรอบวันเกิดเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา วันเกิดก็ไม่ได้จัดงานอะไร เพียงร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัว และไปทำบุญที่วัดประจำของครอบครัว คือ วัดบางไส้ไก่ ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งวัดแห่งนี้มีการอุปการะเลี้ยงเด็กกำพร้า ในนามของมูลนิธิแสงเทียน ตนเองก็ไปช่วยบริจาคค่าอาหารและของใช้ที่จำเป็นทุกปี และอีกที่หนึ่งที่ไปคือโรงพยาบาลสงฆ์ ที่มีแผนกรับบริจาคช่วยเหลือพระสงฆ์อาพาธ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ายารักษาโรค เมื่อมีโอกาสจะเข้าไปบริจาคช่วยเหลือ
มานิจ เล่าด้วยว่า ตอนนี้อยู่กับภรรยา คุณพิมพ์ทอง สุขสมจิตร ที่บ้านกันสองคนตายาย มีลูก 3 คน เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน มีหลาน 2 คน ที่เริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว คือ “น้องสุขสดชื่น” และ “น้องสุขสดใส” วันหยุดหลานๆก็จะมาอยู่กับคุณย่าที่บ้าน ส่วนเราบางทีก็ออกไปทำงาน หลานๆจะชอบให้เราเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟัง เช่น บางทีหลานดูโทรทัศน์ เขาก็จะถามถึงบุคคลต่างๆว่าเป็นอย่างไร ถามถึงเรื่องรัฐธรรมนูญบ้าง เรื่องงานหนังสือพิมพ์บ้าง เราก็มาเล่าให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ เราสอนลูกและหลานทุกคนให้ยึดมั่นในความดี ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม และรู้จักประหยัด
เมื่อถามว่าในสายตาหลานๆคุณปู่ดุหรือไม่ อาจารย์มานิจหัวเราะพร้อมบอกว่า “ไม่ทราบเหมือนกัน ต้องถามหลาน แต่หลานเคยเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษที่โรงเรียน บอกว่าปู่เป็นแบบอย่างของเขา”
@สุขกับงานอดิเรก
ส่วนงานอดิเรกนั้น มานิจ บอกว่า จะถือเป็นงานอดิเรกหรือการออกกำลังกายก็ได้ โดยทุกเช้าจะตื่นมากวาดลานบ้าน กวาดใบไม้ ทำความสะอาดกรงสุนัข ที่บ้านเลี้ยงสุนัข 3 ตัว แต่เสียชีวิตไป1 ตัว ตอนนี้เหลือเพียง “เจ้าเฉาก๊วย” กับ “เจ้ากานพลู” และมีแมวจรจัดอีกหลายตัว ที่เราดูแลเขา เนื่องจากเขามาขออาหารกินที่บ้าน เราก็เลยซื้ออาหารเม็ดไว้ให้เขาประจำ พอถึงเวลาเขาก็จะมากิน
มานิจ เล่าว่า การเลี้ยงสุนัขนั้นเราได้พึ่งพาอาศัย ในยามกลางคืนเขาก็เฝ้าบ้าน หากมีอะไรผิดปกติสุนัขก็จะเห่าเตือนเรา และเป็นเพื่อนกันกับเราด้วย อย่างสุนัขตัวที่เสียชีวิตไปเขาอายุมากแล้ว จะชอบมาประจบเรา ทำงานกลับมาเขาจะมารอรับที่ประตูรถเลย
ส่วนเวลาว่างจากงานจะอ่านหนังสือ ชอบอ่านหนังสือ จนถูกบ่นว่าหนังสือเยอะเป็นกองแล้ว บางทีซื้อมาก็อ่านไม่ทัน เราชอบอ่านหนังสือประเภทกฎหมาย ที่มีความคิดเห็นของนักวิชาการ เรื่องกฎหมายใหม่ๆ เรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทย ประวัติศาสตร์การเมืองต่างประเทศ หรือเรื่องนักสืบ
เมื่อถามว่าชอบหนังสือเล่มไหนเป็นพิเศษ มานิจบอกว่า ชอบอยู่หลายเล่ม ที่ชอบเป็นพิเศษคือหนังสืองานศพ เพราะในหนังสือเหล่านั้นจะทำให้เราทราบประวัติของผู้เสียชีวิต ว่าแต่ละคนทำคุณงามความดีอะไรบ้าง และยังมีความรู้เก่าๆ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไป มักจะมีเรื่องราวการทำงานในสมัยก่อนๆที่ทำให้เราได้ทราบประวัติศาสตร์ ว่าบ้านเมืองของเราตอนนั้นเป็นอย่างไร
@นักสะสม “กล่องไม้ขีด”
นอกจากงานอดิเรกข้างต้นแล้ว มานิจยังชอบเก็บสะสมกล่องไม้ขีดจากประเทศต่างๆ อาจารย์เล่าว่า เวลาไปต่างประเทศ จะชอบเก็บสะสมกล่องไม้ขีดของโรงแรมหรือหน่วยงานต่างๆไว้เป็นที่ระลึก เพราะเมื่อนานไปสิ่งเหล่านี้จะบอกได้ว่าเราไปประเทศไหนมาบ้าง อีกทั้งยังเป็นการบอกเล่าประวัติศาสตร์ด้วย เพราะกล่องไม้ขีดจะบอกชื่อโรงแรม ชื่อสถานที่ หรือชื่อหน่วยงานที่เราไปเยี่ยม บางทีหลายสิบปีผ่านไป
“ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนที่เยอรมันมาหา แล้วเรามีกล่องไม้ขีดที่เป็นกล่องพลาสติก ก็เอาให้เขาดู เขางงว่าโรงแรมนี้อยู่ที่ไหน ก็บอกไปว่าอยู่เมืองเบอร์ลิน ซึ่งเขาก็บอกว่าโรงแรมนี้มันไม่มีแล้ว เลิกกิจการไปแล้ว”
ในส่วนของการดูแลสุขภาพในวัย 78 ปีให้แข็งแรงนั้น มานิจก็ไม่ได้ทำอะไรที่ยุ่งยากมากนัก เคล็ดลับง่ายๆคือ แค่ออกกำลังกายเป็นประจำ ไปหาหมอตามนัด อาหารทานทุกอย่าง แต่ควรระวังอาหารประเภทของมัน อาหารเค็ม อาหารรสจัด และส่วนตัวก็ไม่ดื่มสุรา และไม่สูบบุหรี่ด้วยและทั้งหมดเป็นมุมสบายๆและชีวิตเรียบง่ายของมานิจ คนข่าวและครูข่าว ของวงการกับความสุขที่เรียบง่าย