วันที่ 10 เมษายน ที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ศปอส.ตร. ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจำนวน 5,000 บาท ที่ไม่มีความเหมาะสม
นายลวรณ กล่าวว่า การเดินทางเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ในวันนี้ ตนต้องการแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับบุคคลที่ได้ส่งข้อมูลเข้าไปในระบบ เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่มีบางรายให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าไปในระบบ ทำให้ทางรัฐบาลโอนเงินเข้าไปในบุคคลนั้นๆ ซึ่งจากนี้จะมีขอเรียกเงินคืนจากบุคคลที่ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จทั้งหมด อีกทั้งได้แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ได้รับเงินแล้วนำไปโพสต์ในโลกโซเชี่ยล ก็จะให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบเป็นรายบุคคลว่ามีจุดประสงค์อะไร และเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่
“กรณีดังกล่าวตนได้รับความร่วมมือที่ดีมากจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีต่างๆ และคาดว่าเราน่าจะได้ข้อเท็จจริงที่เพียงพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่นำข้อมูลไปโพสต์ในโลกโซเชี่ยล และคาดว่าน่าจะมีพยานหลักฐานมากพอที่จะให้ตร. ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้น ส่วนกรณีที่จะมีการประณีประณอมกันหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งตรงนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน คือผู้ที่กรอกข้อความอันเป็นเท็จเพื่อขอรับเงิน กับกรณีบุคคลที่ได้รับเงินไปแล้วนำไปโพสต์ในโลกโซเชี่ยล เพื่อให้เกิดความตื่นตระหนก หรือไม่สมควร ก็ต้องดำเนินคดี เนื่องจากมีพี่น้องอีกหลายล้านคนที่จะรอรับเงินส่วนนี้ จึงไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้น
นายลวรณ กล่าวว่า การเดินทางเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ในวันนี้ ตนต้องการแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับบุคคลที่ได้ส่งข้อมูลเข้าไปในระบบ เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่มีบางรายให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าไปในระบบ ทำให้ทางรัฐบาลโอนเงินเข้าไปในบุคคลนั้นๆ ซึ่งจากนี้จะมีขอเรียกเงินคืนจากบุคคลที่ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จทั้งหมด อีกทั้งได้แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ได้รับเงินแล้วนำไปโพสต์ในโลกโซเชี่ยล ก็จะให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบเป็นรายบุคคลว่ามีจุดประสงค์อะไร และเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่
“กรณีดังกล่าวตนได้รับความร่วมมือที่ดีมากจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีต่างๆ และคาดว่าเราน่าจะได้ข้อเท็จจริงที่เพียงพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่นำข้อมูลไปโพสต์ในโลกโซเชี่ยล และคาดว่าน่าจะมีพยานหลักฐานมากพอที่จะให้ตร. ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้น ส่วนกรณีที่จะมีการประณีประณอมกันหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งตรงนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน คือผู้ที่กรอกข้อความอันเป็นเท็จเพื่อขอรับเงิน กับกรณีบุคคลที่ได้รับเงินไปแล้วนำไปโพสต์ในโลกโซเชี่ยล เพื่อให้เกิดความตื่นตระหนก หรือไม่สมควร ก็ต้องดำเนินคดี เนื่องจากมีพี่น้องอีกหลายล้านคนที่จะรอรับเงินส่วนนี้ จึงไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้น