นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ Watana Muangsook ระบุว่า... อย่าฉวยโอกาสใช้กฎหมายรังแกหรือปิดปากพลเมืองดี หน้ากากอนามัยถูกประกาศเป็นสินค้าควบคุมและกำหนดราคาจำหน่ายปลีกไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ดังนั้น การที่เสี่ยบอยไลฟ์โฆษณาว่ามีหน้ากากอนามัยถึง 200 ล้านชิ้นขายในราคาที่เกินประกาศจึงเป็นความผิด ส่วนที่เพจแหม่มโพธิ์ดำนำโพสต์ของบุคคลดังกล่าวมาแสดงความเห็นต่อยอดเพื่อให้เกิดการตรวจสอบและดำเนินคดีจึงขาดเจตนาทุจริต หรือโดยหลอกลวง หรือต้องการช่วยเหลือผู้กระทำผิด การกระทำดังกล่าวจึงไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน การที่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (พล.ต.ต. ปัญญา ปิ่นสุข) แถลงข่าวจะดำเนินคดีกับเจ้าของเพจแหม่มโพธิ์ดำที่นำโพสต์ดังกล่าวมาแชร์ต่อฐานนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จึงสร้างความสับสนเพราะรอง ผบช. ก. คนเดียวกันก็เพิ่งแถลงข่าวการจับกุมนายศรสุวีร์หรือเสี่ยบอยที่โพสต์เฟซบุ๊กอ้างว่ามีหน้ากาก 200 ล้านชิ้น ก่อนขยายผลมาสู่การจับกุมนายพันธ์ยศได้พร้อมของกลางซึ่งก็เป็นผลมาจากโพสต์ของเสี่ยบอยที่เพจแหม่มโพธิ์ดำเอามาเผยแพร่ แสดงว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นหลักฐานที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดแล้วจะมาดำเนินคดีกับผู้ที่ชี้เบาะแสได้อย่างไร การกระทำความผิดฐานนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 14 (1) จะต้องมีเจตนาพิเศษคือโดยทุจริต หรือโดยหลอกหลวง และการกระทำนั้นต้องน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ดังนั้น ก่อนแจ้งข้อหาท่านรองต้องตอบให้ได้ก่อนว่าการกระทำดังกล่าวมีเจตนาทุจริตหรือโดยหลอกลวงและเสียหายกับประชาชนอย่างไร ไม่เช่นนั้นคนแจ้งข้อหาจะกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง อย่ามักง่ายกับประชาชนครับ กรณีไม่ต่างจากการโพสต์ข้อความว่า “เงินเยียวยา 5,000 บาท เข้าบัญชีแล้วแค่เศษเงินหลังตู้เย็น” อาจจะฟังแล้วไม่เหมาะสมแต่ก็ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์เช่นกัน จำไว้ว่าไทยเป็นสังคมนิติรัฐ (legal state) คือสังคมที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง รัฐจึงต้องเคารพหลักการของกฎหมายและไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจหรือทำตามกระแส ประเทศไทยเสียหายเพราะศรีธนญชัยสอพลอมาเยอะแล้ว