บทความพิเศษ/: ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก ในที่สุด ครม.เห็นชอบประกาศให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติแล้ว ตามเจตนารมณ์ประกาศก่อนหน้าว่า “สุขภาพนำเสรีภาพ” และยกระดับฐานะวิกฤติครั้งนี้เป็น “ภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข” (Public Health Emergency) แกะรอยเส้นทางโควิด-19 จากเมืองอู่ฮั่นสู่ มณฑลหูเป่ย ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก มีไทม์ไลน์สำคัญ คือ 31 ธันวาคม 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานพบผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรงจำนวนมากในเมืองอู่ฮั่น ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2562 เมื่อ 7 มกราคม 2563 WHO ประกาศพบการระบาดของไวรัสชนิดใหม่จากเชื้อไวรัสประเภทไวรัสโคโรนา หรือ 2019-nCoV (โควิด-19) เมื่อ 13 มกราคม 2563 พบผู้ติดเชื้อรายแรกนอกดินแดนจีน ที่ประเทศไทย เมื่อ 11 มีนาคม 2563 ผู้นำจีนประกาศชัยชนะเหนือโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น จีนใช้เวลาคุมโรคนี้อยู่ประมาณ 3 เดือน มาดูต่อกันว่าไทยจะทำได้อย่างจีนหรือไม่ หลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยการประยุกต์ใช้ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ในด้านต่าง ๆ ทั้ง (1) ด้านจิตใจ (2) ด้านสังคม (3) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (4) ด้านเทคโนโลยี สรุป 13 ข้อ (ต่อมา ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล สรุปรวมแยกย่อย 23 ข้อ) คือ (1) คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา (1.1) ระเบิดจากข้างใน (1.2) ปลูกจิตสำนึก (1.3) เน้นให้พึ่งตนเองได้ (2) ปฏิบัติอย่างพอเพียง (2.1) คำนึงถึงภูมิสังคม (2.2) ทำตามลำดับขั้น (2.3) ประหยัด เรียบง่าย ประโยชน์สูงสุด (2.4) บริการที่จุดเดียว (2.5) แก้ปัญหาจากจุดเล็ก (2.6) ไม่ติดตำรา (2.7) ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ (2.8) การมีส่วนร่วม และ (3) เป้าหมายคือสังคมพอเพียง (3.1) รู้รัก สามัคคี(3.2) มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่ เศรษฐกิจพอเพียงสู้วิกฤติโควิด-19 เชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่เพียงทำลายสุขภาพมนุษย์จนถึงขั้นตาย แต่ยังทำลายเศรษฐกิจในประเทศด้วย สถานการณ์เช่นนี้เหมือนการระบาดของโรคซาร์ส (SARS) หรือโรคทางเดินหายใจอักเสบเฉียบพลันรุนแรง เมื่อ 17 ปีก่อน หรือ ใน “ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก” จากวิกฤติซับไพร์ม (หนี้เสีย) เมื่อปี พ.ศ. 2540 ผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลหลายประเทศต้องชดเชยจ่ายเงินค่าตกงานให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ แม้กระทั่งประเทศไทย เป็นต้น ในส่วนของการดำเนินชีวิตของประชาชนมีการพูดถึง “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” หรือ “ ศาสตร์พระราชา” ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เพราะ เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ด้วยหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ “เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม” เศรษฐกิจพอเพียง พออยู่พอกิน อย่าใช้ชีวิตติดหรู จะอยู่ได้อีกนาน ที่พูดมาแก้ง่ายมากก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียงให้เป็นสิ ในหลวงท่านสอนไว้ให้อยู่อย่างพอเพียงแล้วจะอยู่รอดปลอดภัย ต้องกินต้องอยู่อย่างพอเพียงอย่างที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 เคยสอนไว้ “คนไทยจะจนจะรวย จะอยู่ที่ประเทศไทยหรือจะอยู่ต่างประเทศควรอยู่กินอย่างพอเพียง” เราต้องพึ่งพาตนเอง พาตัวเองออกจากความกลัว ตั้งสติแล้วหาหนทาง ปฏิบัติให้เราอยู่รอดปลอดภัย และพอเพียงตามกำลังฐานะ และมีความรักสามัคคี ช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน เป็นหนทางที่ดี เป็นกุศลจิตที่เป็นบุญกุศลในอีกสถานหนึ่ง ศึกโควิดครั้งนี้ชาวบ้านต้องเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เพราะ ณ เวลานี้เรายังไม่รู้ว่าปัญหาโรคระบาดจะยืดเยื้อยาวนานอีกสักเท่าใด รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงจะยังคงตั้งอยู่ในประเทศเราอีกยาวนานเพียงใด แม้หลังการระบาดโรคหยุดแล้วก็ตาม คนยากจนที่ต้องไม่ถูกฝึกให้เสพติดการรับเงินแจก เพราะภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ รัฐบาลจะถังแตกไม่มีจะแจกสักวันก็ได้ ชุมชนจะอยู่อย่างไร ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม ฯลฯ ที่จะตามมา หากเราไม่วางแผนให้ดี มัวแต่ไม่รับผิดชอบ ไม่ร่วมรักสามัคคีพร้อมใจการสู้ การใช้ชีวิตแบบพอเพียง กินพอเพียง และ ใช้พอเพียง เท่าที่จำเป็นและประหยัดเศรษฐกิจพอเพียงคือคำตอบให้คนไทยอยู่รอดในช่วงวิกฤตนี้ ตัวอย่างการบริหารจังหวัดจัดการตนเอง วิกฤติการระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของ “การบริหารจังหวัดจัดการตนเอง” ในแต่ละพื้นที่ตามบริบทของจังหวัด (เมือง) ที่แตกต่างกันไป เมืองใหญ่ เมืองเล็ก เมืองชายแดน เมืองเศรษฐกิจ เมืองปริมณฑล ฯลฯ ที่มีมาตรการการควบคุมป้องกันการระบาดของเชื้อโรคตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ที่มีความอ่อนเข้มของมาตรการอย่างเหมาะสม ทำให้นึกไปถึง “กระจายอำนาจการตัดสินใจการกระจายทรัพยากร” ไปในแต่ละจังหวัด เพราะมี 76 จังหวัดที่มีวิธีรับมือกับโรคระบาดต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ เช่น การปิดหมู่บ้าน การใช้มาตรการสังคม การปรับคนไม่สวมแมสก์ การห้ามเคลื่อนย้ายประชากร (เข้าออก) ฯลฯ ทุกมาตรการล้วนคำนึงถึงผลสำเร็จ และเป็นการบูรณาการระดมสรรพกำลังทั้งองค์กร ทีมตำบล ทีมอำเภอ ทีมจังหวัด ส่วนที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ “การจัดการชุมชนโดยชุมชนของตนเอง” โดยเฉพาะความเข้มแข็งของ “อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน” (อสม.) เหนือสิ่งอื่นใด ชุมชนใดมีต้นทุนทางสังคม ทรัพยากรมากย่อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างพร้อมและรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นว่า “เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9” ยังเป็นรากฐานของการพัฒนา และยังมีภูมิคุ้มกัน ที่ทำให้ สังคมอยู่รอด ไม่ล่มสลายเหมือนสังคมเมือง หากกิจการร้านค้าฯปิด ขาดเงิน ขาดอาหาร ขาดปัจจัย 4 แต่พื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงยังทำให้ชุมชนเราไม่ล้มจนลุกไม่ขึ้น และยังมีที่พักพิงได้ “ตามคำสอนของพ่อ” เสมอมา มองว่าในที่นี้ศูนย์กลางการตัดสินใจ ที่ไม่ดีต่อแนวคิดสังคมประชาธิปไตย หากเป็นส่วนกลางจะไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหา ที่มีความละเอียดอ่อน และความหลากหลาย หรือ ความเป็น “พหุสังคม” (Plural Society) ที่มีมากซับซ้อนต่างกันทางวัฒนธรรมไปในแต่ละพื้นที่ การสั่งจากบนลงล่าง (Top Down) ไม่ใช่ยุคสมัยที่สถานการณ์เปลี่ยนเป็นรายชั่วโมงเช่นนี้ เพราะมันล่าช้า และทำให้ปัญหายิ่งทวีมากขึ้น สุ่มส่องวิธีการแก้ไขปัญหาโควิดของ อปท. ในภาวะวิกฤติช่วงโควิดนี้ ขอมองภาพความวุ่นวายเล็ก ๆ ในสายตาของคน อปท.สักนิด ไม่มีเจตนาว่าร้าย แต่เป็นข้อสังเกตเพื่อก่อเพื่อแก้ สถานการณ์โควิด ก่อให้เกิดการบริหารงบประมาณท้องถิ่นที่น่าสนใจในหลายแง่มุม (1) ระเบียบที่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที คือ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 (2) ท้องถิ่นมีงบประมาณน้อย มีอยู่อย่างจำกัด เงินสะสมหรือเงินที่ตั้งจ่าย งบกลางสำรองจ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้นมีน้อยแตกต่างกันไปตามสถานะการคลังของ อปท. บางแห่งหมดไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะท้องถิ่นไม่เคยเจอวิกฤติเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนการเตรียมตัวเตรียมการวางแผนงบประมาณส่วนนี้จึงไม่มี เพราะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่สั่งให้ท้องถิ่นสามารถใช้เงินสะสมเป็นระยะๆ เมื่อเห็นว่าท้องถิ่นยังมีเงินในกระเป๋าของตนเองพอควร จึงทำให้ใช้งบประมาณตามนโยบายแบบสุด ๆ เมื่อเกิดภาวะวิกฤติต้องใช้เงินช่วยเหลือประชาชนจึงไม่มีเงินพอใช้ เพราะขาดวินัยการเงินไม่เคยต้องระมัดระวังในการเบิกจ่ายมาก่อน (3) ความไม่สมบูรณ์ครอบคลุมของระเบียบฯ ทำให้ท้องถิ่นต้องตีความหมาย อะไรเบิกจ่ายได้ไม่ได้ ที่ต้องไปอิงการเบิกจ่ายตามกระทรวงเกี่ยวข้องที่ขาดความชัดเจน อาทิ ความหมายอะไรคือโรคระบาด อะไรคือสาธารณภัย หากเป็นสาธารณภัยแล้วจะช่วยเหลือได้เพียงใด หรือต้องรอ สถ. หรือ มท. แจ้งซักซ้อม (4) ภารกิจอำนาจหน้าที่ของ อปท. ที่มากมาย จนขาดความชัดเจน ไม่ใช่หน้าที่แต่เคยชินกับระบบสั่งการและนโยบายของนักการเมืองทำให้ไม่ได้ตรวจสอบว่ามีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพียงใดหรือไม่ อปท.บางแห่งหลงทาง หลงอำนาจหน้าที่ หลงทางจากการควบคุมกำกับดูแลของ อำเภอ จังหวัด ท้องถิ่นอำเภอ ท้องถิ่นจังหวัด กลายมาเป็นการจำกัดการทำหน้าที่ของตน สับสนในอำนาจที่ทับซ้อนปนเปกันในอำนาจของ “ราชการส่วนภูมิภาค” ที่มีบริบทความต้องการหรืออำนาจที่แตกต่างกัน การสั่งการของส่วนกลางหรือผู้กำกับดูแล หรือ การนั่งรอการสั่งการดังกล่าว หรือ การเซฟตัวเองของ อปท.โดยไม่ทำอะไร หรือ การจ้องมัวแต่หารือ ไม่เป็นอันทำงาน เพราะกลัวผิด ฯลฯ เหล่านี้มีพบเห็นทั่วไปใน อปท. (5) ข้อจำกัดการรอแนวทาง รอหนังสือสั่งการจาก สถ.มท. ทำให้การพัฒนาขาดตอน ล่าช้า ไม่กล้าตัดสินใจ ไร้อิสรภาพในการทำงาน ในการตัดสินใจ เพราะประชาชนที่เดือดร้อนรอไม่ได้ มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานส่วนกลางให้กระชับ การปล่อยอำนาจในการตัดสินให้ท้องถิ่นทำงาน ให้เขาดูแลชาวบ้านของเขาเอง มิใช่วางระเบียบเป็นกับดักทางตันไว้เสี่ยงให้ อปท.เดินผิดทางได้ มิใช่การกระจายอำนาจเพราะบริบทของท้องถิ่นแต่ละแห่งย่อมแตกต่าง ไม่ได้สำเร็จรูปเป็นเสื้อโหลตามแบบที่ส่วนกลางคิดหรือออกแบบไว้ เพราะมีสิ่งที่ท่านมองไม่เห็นอยู่ การเว้นช่องว่างหรือมีบทยกเว้นบทเฉพาะการให้ท้องถิ่นได้มีอำนาจคิด ตัดสินใจ และสั่งการ แก้ปัญหาปัญหาด้วยตัวเองจึงจำเป็น (6) หน่วยตรวจสอบเป็นตัวจักรสำคัญทำให้การช่วยเหลือประชาชนชะงักงัน ท้องถิ่นไม่กล้าใช้อำนาจการตัดสินใจในการทำงานแก้ไขปัญหา หน่วยตรวจสอบก็จ้องเอาผลงาน อปท.บางแห่ ตัดสินใจผิดพลาด หน่วยตรวจสอบไม่ละเว้น ต่างตีความหมายที่แตกต่างตามตัวอักษร ตามระเบียบ หาทางออกไม่เจอก็มี การตรวจแบบสร้างสรรค์แนะนำแก้ไขปรับปรุง หาทางออกให้แก่ท้องถิ่น ไม่ใช่หน้าที่ที่หน่วยตรวจสอบพึงมี การตีความหมายมุ่งเอาผลงานอย่างเดียว ทำให้ท้องถิ่นไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร ได้แต่หารือ และรอการสั่งการจาก สถ. มท. ความท้อ หมดกำลังใจ ไม่กล้าทำ เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข เพราะท้องถิ่นอยากจะใช้งบประมาณบริหารประชาชนผู้เดือดร้อน (7) ส่วนกลาง ผู้มีอำนาจกำกับดูแลตามกฎหมายควรเร่งพิจารณาระเบียบกฎหมายในส่วนที่เกี่ยงข้อง โดยคำนึงถึงหลักการ “กระจายอำนาจ” มีใช่การกำกับดูแลแบบ “ควบคุมบังคับบัญชา” เพราะ ท้องถิ่นมิใช่องค์กรภายใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใด เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ผู้กำกับดูแล อปท. และ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รู้บทบาทอำนาจหน้าที่ของตน การลงตรวจสอบตรวจนิเทศงานพื้นที่เน้นสร้างสรรค์ แนะนำสร้างความเข้าใจในการเบิกจ่ายงบประมาณให้แก่ท้องถิ่น จะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีมากแก่ อปท. (8) เหนือสิ่งอื่นใด “การสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรท้องถิ่น” โดยเฉพาะฝ่ายประจำสำคัญมาก เพราะข้าราชการคือผู้นำนโยบายของฝ่ายบริหารการเมืองไปสู่การปฏิบัติ ในการช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤตโควิดนี้ โดยถือหลักสุจริตในการทำงานเป็นที่ตั้ง หากประชาชนได้รับการช่วยเหลือในด้านการยังชีพ เพราะตกงาน ขาดข้าวปลาอาหาร ยารักษาโรค ฯ ที่เป็นสิ่งจำเป็น หาก อปท.มีงบประมาณพอ และรู้อำนาจหน้าที่ของตนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องรอใครมาสั่ง เพราะหากดำเนินการถูกต้อง ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครมาตรวจสอบ มิเช่นนั้นประชาชนคงอดตายหมด ชาติรอดปลอดภัยฝ่าวิกฤติโควิดคือเป้าหมาย คน อปท. คงไม่ยอมแพ้วิกฤตินี้แน่นอนให้นึกถึง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามคำสอนของพ่อ” เข้าไว้