คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเอาชนะเชื้อไวรัสโควิด-19 ศัตรูตัวร้ายที่ไม่มีตัวตนมองไม่เห็นในครั้งนี้ แม้ว่าแสนจะยากเย็นก็ตามแต่ทุกๆฝ่ายทั่วโลกไม่ย่อท้อต่างจับมือรวมพลังมีเป้าหมายร่วมกันที่จะต่อสู้ อนึ่งขณะนี้สหรัฐอเมริกาก็กำลังก้มหน้าก้มตาระดมพลังกันถ้วนหน้าด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝ่ายทีมแพทย์และฝ่ายนักการเมือง ซึ่งทุกๆคนต่างก็มุ่งมั่นต้องการที่จะแก้โจทย์นี้ให้ได้ แต่ต่างก็จนปัญญาหวังให้มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น!!! สิ่งสำคัญที่สุดของสหรัฐฯในขณะนี้ก็คือ การรวมพลังของทั้งทุกๆฝ่าย ซึ่งหากร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนช่างแสนจะมีคุณค่ามหาศาล เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถพยากรณ์หรือคาดคะเนได้เลยว่า ผลจะออกมาอย่างไร? การสูญเสียชีวิตอย่างมากมายมหาศาล รวมถึงการทนทุกข์ทรมานของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทุกๆวัน ในสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อและมียอดของผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้ ยอดของผู้เสียชีวิตเพียงแค่วันเดียวมีถึง 1,919 ราย มีผลทำให้เกิดปัญหามหาวิกฤติมากขึ้นตามลำดับ และข่าวที่ถือว่าแสนจะเลวร้ายแบบสุดๆเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้เช่นกัน ที่มียอดของผู้เสียชีวิตรวมแล้วในขณะนั้นทั้งหมดมีมากถึง 12,790 และยังมียอดของผู้ติดเชื้อทั้งสิ้นถึง 395,612 ราย แถมยังไม่มีแนวโน้มเลยว่า “เมื่อไหร่จำนวนของผู้เสียชีวิตจะหยุดนิ่งหรือลดน้อยลงเสียที” ดังนั้นการแก้ปัญหาเชื้อไวรัสโควิดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯและกำลังแพร่กระจายแบบสุดๆในขณะนี้ นับเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นผู้นำของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้เป็นอย่างดี และเมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถจะแก้ไขปัญหามหาวิกฤติครั้งนี้ได้ โอกาสที่เขาจะได้รับเลือกนั่งเก้าอี้อยู่ต่อในสมัยที่สองก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง!!! อย่างไรก็ตามขณะนี้ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้านอย่างมากมาย อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ที่ถือเป็นหัวใจหลักในการวัดความสำเร็จที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยภาคภูมิใจมาโดยตลอดนั้น ปรากฏว่าเกิดความปั่นป่วนโกลาหลวันแล้ววันเล่า ขณะนี้รัฐมนตรีคลังกำลังเตรียมยื่นเสนอของบประมาณอีก 200 พันล้านเหรียญ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาภาคธุรกิจขนาดย่อม สำหรับ “ประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี”ก็กำลังเตรียมที่จะเสนองบกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหนึ่งล้านล้านเหรียญ โดยครั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นดีเปิดไฟเขียวเอาด้วย!!! กระนั้นก็ตามยังมีผู้นำประเทศที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งนั่นก็คือ “นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน” ของประเทศอังกฤษที่ขณะนี้กำลังติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และอาการค่อนข้างหนักต้องรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู โดยมีรัฐมนตรีฯต่างประเทศเข้ารับหน้าที่แทน ซึ่งได้สร้างความสับสนเป็นอย่างยิ่งที่แม้แต่คนในระดับนายกผู้นำระดับโลกก็ยังติดเชื้อไวรัส และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันแก่ประธานาธิบดีทรัมป์ยิ่งขึ้นไปอีก ทางด้านแรงงานในสหรัฐฯขณะนี้เพียงแค่สองสัปดาห์ปรากฏว่า สูญเสียงานไปแล้วมากกว่าสิบล้านคน นับว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่อาจจะนำสหรัฐฯเข้าไปสู่ยุคถดถอยทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง!!! สำหรับคะแนนนิยมของสำนักโพลต่างๆก็ยังปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมตามหลังโจ ไบเดนอยู่หลายเท่าตัว ส่วนเรื่องของการจัดการเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น จากการหยั่งเสียงของกัลลัพโพลเมื่อวันที่ 25 มีนาคมนี้ปรากฏผลออกมาว่า คนอเมริกันพอใจและชื่นชมต่อการแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 นี้สูงถึง 60% ส่งผลให้คะแนนนิยมในภาพรวมของประธานาธิบดีทรัมป์พุ่งสูงถึง 49% นับว่าสูงมากที่สุดตั้งแต่เขาเข้ามาดำรงอยู่ในตำแหน่ง แต่ก็เป็นไปได้เพียงไม่นานเพราะจากผลการหยั่งเสียงของสองโพลชื่อดังอันได้แก่ สถานีโทรทัศน์ ABC ร่วมกับสำนักหยั่งเสียง Ipsos เมื่อวันศุกร์ที่แล้วกลับปรากฏว่า คนอเมริกันพึงพอใจในการแก้ปัญหาโรคโควิดลดลงเหลือแค่เพียง 47% ทำนองเดียวกันกับโพลของสำนัก Politico ที่ทำร่วมกับ Morning Consulting poll อนึ่งสาเหตุหลักๆที่ทำให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ร่วงลงมา สืบเนื่องจากจำนวนของผู้เสียชีวิตจากไวรัสนี้มีก้าวกระโดดสูงขึ้นแบบผิดปกติ ที่อาจจะมาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประมาทมองข้ามไม่รัดกุมต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าไประบาดในสหรัฐฯเมื่อวันที่ 21 มกราคม โดยเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 มกราคมนี้ว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าเชื้อไวรัสนี้จะไม่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ” และในวันที่ 30 มกราคมประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า “ข้าพเจ้าขอให้หลักประกันว่าทุกอย่างจะไปได้สวย” แถมในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไม่นานนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งเช่นเคยว่า “ในที่สุดไวรัสโควิด-19 ก็จะหายสาบสูญไป” แต่กลับปรากฏว่าในวันต่อมาได้มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นเป็นรายแรกในสหรัฐฯ !!! แต่เมื่อมียอดของผู้ติดเชื้อและมีจำนวนของผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นตามลำดับจนกระทั่งวันที่ 13 มีนาคมประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งจะเริ่มตระหนักถึงความเลวร้ายของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ว่าอันตรายและมีความรุนแรงมากขนาดไหน จนต้องออกมายอมเอ่ยปากออกคำสั่งประกาศให้โรคระบาดครั้งนี้เป็น “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” เนื่องจากขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ตระหนักถึงความเลวร้ายของโรคโควิด-19 นี้แล้วเป็นอย่างดี เขาจึงได้เสนอที่ให้ใช้ยา Hydroxychloroquine ที่วงการแพทย์ชี้ว่า เป็นยาสำหรับรักษาโรคมาลาเรียและโรคลูปัส โดยเขาคิดว่าจะเป็นยาวิเศษและควรจะนำมาใช้รักษาไวรัสโควิด-19 นี้ได้ แต่กลับปรากฏว่า ต่อต้านจากวงการแพทย์รวมทั้ง “ดร.แอนโนนี ฟูซี” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกัน ซึ่งรับหน้าที่ “ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ” หนึ่งในคณะทีมงานแก้ปัญหาโรคโควิด-19 โดยประธานาธิบดีทรัมป์กลับดื้อรั้นดันทุรังว่า “เสี่ยงดู ไม่มีน่าอะไรเสียหาย” ซึ่งได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในวงกว้าง!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการแก้ปัญหาวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูประหนึ่งว่า ยังไม่สามารถคลำหาหนทางออกได้ ทำได้ก็แค่เพียงคล้อยตามคำปรึกษาจากคนรอบตัวที่คอยประจบเลียแข้งเลียขาเอาใจเจ้านาย แต่อย่างไรก็ตามผมอยากจะขอเอาใจช่วยให้ประธานาธิบดีทรัมป์ผ่านพ้นวิกฤติสามารถฟันฝ่าพาคนอเมริกันให้กลับมาอยู่ปกติสุขได้ในเร็วๆวันนี้ และหากทำได้ ในอีกเจ็ดเดือนข้างหน้าที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ชัยชนะในสมัยที่สองก็อยู่ไม่ไกลจนเกินมือโดนัลด์ ทรัมป์เอื้อมละครับ