เพจคุยอย่างสันติ ของนายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความใน ระบุว่า หลายวันมานี้ ผมไม่ได้โพสต์ข้อความอะไร ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ยังไม่ได้มีความคิดอะไรใหม่ ๆ ที่อยากจะชวนคุย และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายในเหตุการณ์ความกังวลใจของคนทั่วไปในขณะนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อเย็นวานนี้ (2 เมษายน 2563) นายกรัฐมนตรีได้ประกาศการห้ามออกจากบ้านในยามวิกาล เวลา 22:00 น. - 4:00 น. ทั่วราชอาณาจักร โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันนี้ (3 เมษายน 2563) นอกจากนั้น ในวันนี้ก็จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ ซึ่งจะมีการนำเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเป็นระยะที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะมีการเสนอให้มีการออกพระราชกำหนดกู้เงินเป็นวงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อรับมือกับCOVID-19 การดำเนินการดังกล่าวนั้น อาจจะนับได้ว่าเป็นการยกระดับมาตรการต่อสู้กับวิกฤติที่กำลังเกิดครั้งนี้ขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะมีเบื้องหลังอย่างไรก็ตามนั้น แต่สิ่งที่ออกมา อาจจะพิจารณาได้ว่า การยกระดับแต่ละระดับนั้นเป็นไปตามแนวคิดเบาไปหาหนัก แม้บางคนจะไม่เห็นด้วย โดยอยากจะให้ใช้มาตรการที่เข้มข้นสูงสุดทันที เพราะเชื่อว่า "เจ็บแต่จบ" ... แต่ผมคิดว่าแนวคิดเรื่อง "เจ็บแต่จบ" นั้น เป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องยอมรับว่าไวรัสอุบัติใหม่อย่าง COVID-19 นี้ ยังไม่มียารักษาโดยตรงที่มีประสิทธิผลยอมรับในวงการแพทย์ ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกัน และในตัวคนเองก็ยังไม่มีความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกัน (immunity) ซึ่งทั้ง 3 ประการนั้น ต้องใช้เวลาอีกยาวพอสมควร (คงไม่ใช่เพียง 2 - 3 เดือนนี้เท่านั้น) ดังนั้น ความหวังที่จะมีการใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุดทันทีตามแนวคิด "เจ็บแต่จบ" นั้น น่าจะเป็นไปได้ยาก ... แม้แต่ใน Wuhan เอง ที่ใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด คือ "เจ็บ" แต่ไม่ "จบ" อย่างหมดจด เพราะแม้ทุกวันนี้ ก็ยังต้องมีมาตรการอย่างต่อเนื่องที่ดูแลอย่างเข้มข้น ป้องกันไม่ให้กลับมา "เจ็บหนัก" อีกครั้ง กล่าวคือ ก็ยังต้องมีอาการ "บาดเจ็บ" อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เจ็บไม่หนักมากเท่านั้น ... ยิ่งไปกว่านั้น โดยนิสัยและพฤติกรรมของคนไทยประกอบกับระบอบการปกครองของไทยนั้น ทุกท่านลองถามตัวเองว่า หากมีมาตรการเข้มข้นระดับสูง กล่าวคือ ห้ามออกจากบ้านโดยเด็ดขาดเป็นเวลานาน เราจะทนกันได้หรือไม่ ผมเองก็ไม่ได้เข้าข้างรัฐบาลทุกกรณี ดังจะเห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นหลายประการก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เห็นด้วยกับแนวความคิด แต่แน่นอนครับ ผมก็ไม่มีการค้านหัวชนฝาในทุกเรื่อง แล้วแต่เหตุผลที่เกิดจากการฟังข้อมูลข่าวสาร การวิเคราะห์ครับ อยากจะเชิญชวนเพื่อนฝูงทุกท่าน อย่าเอาแต่ด่า หรืออย่าเอาแต่เข้าข้างอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยครับ สังคมจะดำเนินไปได้อย่างดีก็ต้องประกอบด้วยการให้กำลังใจและการตำหนิทัดทานอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง curfew ที่จะมีผลใช้บังคับในวันนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 22:00 น. เป็นต้นไปนั้น มีหลายเสียงกระแนะกระแหนว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ไวรัสแพร่กระจายในขณะที่เวลาอื่นที่ไม่ curfew นั้น ไวรัสหยุดชั่วคราวหรืออย่างไร ... ผมคิดว่าเรื่องนี้ พูดเล่น ๆ เอาสนุกได้ แต่ขอให้สิ่งที่อยู่ในใจเป็นความเข้าใจจริง ๆ ก็แล้วกันครับว่า curfew ไม่ได้ห้ามเชื้อโรค แต่ curfew ห้ามคนครับ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เป็นเวลาที่คนไม่ได้ทำงาน (เป็นส่วนใหญ่) แต่คนที่ไม่ "ตระหนัก" ก็จะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นสังสรรค์กันอย่างไม่ระวัง ไม่สนใจ social distancing และเป็นโอกาสของการแพร่เชื้อโรคกันได้โดยง่าย ดังที่ปรากฎเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดังนั้น การกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวเป็น curfew ก็เพื่อสกัดกั้นโอกาสการแพร่เชื้อโรคนั่นเอง และเป็นการปฏิบัติแบบเบาไปหาหนัก อีกประการหนึ่ง การดำเนินการแบบเบาไปหาหนักนั้น ก็พยายามให้เป็นไปแบบ "ทางสายกลาง" แน่นอนครับที่จะส่งผลลบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่ถ้าดำเนินมาตรการรุนแรงทันที ระบบเศรษฐกิจก็จะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่านี้แน่นอน แต่ "ไม่จบ" ก็เหมือนกับระบบเศรษฐกิจดิ่งเหวที่หาก้นหลุมไม่พบนั่นเอง ดังนั้น การเลือกทางที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจค่อย ๆ หกล้มลงเพื่อลดความรุนแรงนั้น น่าจะเป็นแนวคิดที่เหมาะสมกว่า เมื่อถึงเวลาควบคุม COVID-19 ได้แล้ว การฟื้นฟูจะได้ไม่ต้องกู้เพียงซากที่หารูปร่างหน้าตาเดิมไม่เจอ อีกตัวอย่างหนึ่งของการ "ด่า" กันโดยไม่ลืมหูลืมตา ก็คือ กรณีที่ทหารออกมาช่วยพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในช่วงกลางดึกที่พวกเรานอนหลับพักผ่อน มีเอกสารที่นำมา share กัน เป็นค่าใช้จ่ายรวม ๆ ประมาณ 22 ล้านบาท ว่าเป็นการผลาญงบประมาณกันอีก (ผมนำภาพมาแสดงประกอบ) ... แต่ถ้าหากลองหารแต่ละรายการดูนะครับ จะเห็นว่าราคาต่อหน่วยก็ไม่ได้ส่อทุจริตนะครับ เช่น เครื่องพ่นยาสะพายหลัง เครื่องละ 5,000 บาท เครื่องพ่นละอองฝอย ULV เครื่องละ 50,000 บาท น้ำยาฆ่าเชื้อลิตรละ 800 บาท เครื่องวัดอุณหภูมิแบบยิงหน้าผาก อันละ 5,000 บาท น้ำมันเชื้อเพลิงลิตรละ 33 บาท Alcohol gel 450 cc. 250 บาท หน้ากากผ้าชิ้นละ 7.94 บาท ... ผมลองหารดู ก็เห็นว่าไม่ได้ผิดไปจากราคาตลาด และน้อง ๆ ทหารที่ต้องออกมาอดหลับอดนอนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนต้องเสียสละ กลับไม่ได้รับเสียงชื่นชม ... เราใจร้ายกันเกินไปหรือไม่ครับ วันนี้ที่เขียนมายืดยาวนี้ เพียงแต่รู้สึกว่า สังคมเราควรจะ "ปรับ" ตัวเองให้มีแนวคิดที่เป็น "กลาง" หรือเป็น "บวก" บ้าง เพราะการสาดแต่ของเสียใส่กันนั้น ไม่มีใครได้ประโยชน์ ยกเว้นแต่คนที่ต้องการความแตกแยกเพื่อฉวยโอกาสแย่งชิงฉกฉวยประโยชน์มาเป็นของตนเองเท่านั้น เราลืมเรื่อง "ความสามัคคี" ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กและถูกสั่งสอนมาอย่างต่อเนื่อง (ไม่แน่ใจว่า เดี๋ยวนี้ยังมีการสั่งสอนเรื่องความสามัคคีกันอยู่หรือไม่) รวมทั้งถูกสอนให้ตั้งสติวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ... ซึ่งขนาดถูกสั่งสอนมาอย่างนั้น หลายครั้งยัง "สติหลุด" ได้เสมอ ๆ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่อยู่ท่ามกลางความกังวลใจอย่างมากในขณะนี้