รื่นรมย์คนการเมือง
“ เมื่อเราเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ รอเป็นผู้ชม คอยสนับสุนนพรรคการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เข้าคูหากาบัตรดีกว่า”
“เกษม รุ่งธนเกียรติ”
วางมือการเมือง รับบท “คนดู”
กับวันที่ “ความสุข” ลงตัว
เรื่อง : ปาริชาติ เฉลิมศรี
ภาพ : กฤษฎา พันธ์สุ
วันนี้ “รื่นรมย์คนการเมือง” ได้เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งพูดคุยสบายๆ กันนอกสถานที่กับ “เกษม รุ่งธนเกียรติ” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และ1 ในสมาชิกกลุ่ม 16 ที่มานั่งเล่าย้อนอดีตถึงเส้นทางการเมืองตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา พร้อมเปิดมุมมองในห้วงเวลาที่การเมืองปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป
เกษม บอกว่า แม้ว่าประเทศขณะนี้อยู่ในห้วงเวลาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง แต่เกษมก็ไม่ได้หยุดคิดในเรื่องการเมือง เพราะเขาจะใช้เวลาที่ไปพบปะกับเพื่อนเก่า ทั้งสมัยเรียนชั้นมัธยม เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิก “กลุ่ม 16” ที่จะนัดรับประทานอาหารกันเดือนละครั้ง เพื่ออัพเดตการเมืองใหญ่ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
@ ย้อนวันวานบนถนนการเมือง
เกษม เล่าย้อน วันวานเมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่อายุ 28 ปี หลังจากเรียนจบนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งช่วงที่เรียนจบเป็นช่วงที่การเมืองกำลังเริ่มต้น กำลังพัฒนาก้าวสู่ประชาธิปไตยค่อนข้างที่จะเต็มใบ ในปลายสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
พอกลับมาบ้านได้เห็นความยากจน ความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบท ก็คิดว่าน่าจะใช้วิชาทางกฎหมายมาแก้ไขปัญหาให้พวกเขา เพราะวันนั้นประชาชนไม่รู้กฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เลยมีความคิดว่า น่าจะเป็นตัวแทนที่จะมาเป็นปากเป็นเสียงได้ดี
ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าคนในพื้นที่ยังไม่รู้จัก แต่ด้วยเพราะบารมีของคุณแม่ที่ทำการค้ากับคนในพื้นที่และตัวเขาเองก็เป็นเนติบัณทิต ซึ่งทุกคนก็แปลกใจว่า คนที่มีการศึกษาระดับนี้ ส่วนใหญ่จะไปเป็นอัยการเป็นผู้พิพากษา แล้วทำไม ถึงมายืนบนหลังคารถจับไมค์ปราศรัยกับประชาชน ซึ่งมันเป็นของใหม่ของพวกเขา
“ เพราะในอดีตก่อนปี 2529 คนที่จะมาเป็นส.ส. จะมาจากกำนันเก่า ผู้ใหญ่บ้านเก่า ที่มีบารมี แต่พอประชาชนเห็นบทบาทผมบนหลักคารถ ที่ชี้แจงทำความเข้าใจถึงผลทางกฎหมาย ก็ทำให้เกิดความศรัทธา บวกกับบารมีของคุณแม่ ทำให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนั้น”
@ ขึ้นหลังคารถปราศรัย จากจิตวิญญาณ
เมื่อเราถามความรู้สึก ในสมัยหนุ่มๆที่โดดขึ้นหลังคารถ จับไมค์ปราศรัยกับประชาชน เกษม ก็เล่าย้อนอดีตด้วยสีหน้าที่อมยิ้มว่า ตอนที่เรียนธรรมศาสตร์ช่วงนั้น เป็นช่วงที่เหตุการณ์บ้านเมืองตื่นตัวมาก เป็นยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 และยุค 6 ต.ค. 2519 มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองค่อนข้างเข้มข้น
พอตกเย็นเกษม ยังไม่กลับบ้านแต่จะไปนั่งฟังนักการเมือง นักศึกษามาปราศรัยที่ลานโพธิ์ ที่สนามหลวง ทำให้มีจิตวิญญาณอยากที่จะเล่นการเมือง พอเราไปยืนบนหลังคารถ ก็ทำให้นึกภาพในอดีต ทำให้เราสนุกไปกับมัน และพอประชาชนเขาตั้งใจฟังที่เราพูด เราก็ยิ่งมีความภาคภูมิใจว่า เราจะเป็นเส้นทางหนึ่งที่พาพวกเขารอดพ้นความยากจนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่เมื่อได้มาเป็นนักการเมืองในสมัยปี 2529 เกษมกลับบอกว่ารู้สึกน้อยใจ เพราะไม่เหมือนสิ่งที่เราคิดเอาไว้เมื่อครั้งที่อยู่มหาวิทยาลัย การเมืองวันนั้นมีแต่สีสัน ไม่มีสาระ นักการเมืองออกมาถกเถียง ดีเบต ใช้สำนวนเชือดเฉือน การเมืองไม่ได้แก้ปัญหาของประชาชน ซึ่งการเมืองที่สาระจริง ๆก็ตอนสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่พูดแล้วทำ พอชนะเลือกตั้งก็ทำ ถามว่าตั้งแต่ ปี/2529- 2540 ทำอะไรเป็นชิ้นอันไม่มีเลย เพราะกำหนดด้วยแผนพัฒนาประเทศของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
@ “ทำไม ไม่เป็นอัยการ ?”
“ ทำไม ไม่เป็นอัยการ?” เกษมบอกว่า คำถามนี้ตอนสมัครลงเลือกตั้งครั้งแรก ก็เจอบ่อยมาก บางคนมาบอกว่า ฐานะทางบ้านก็ดีทำไมไม่ไปสอบเป็นอัยการ เราก็บอกเขาไปว่าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะมีคำกลอนบทหนึ่งที่เขียนว่า “ เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤๅจะมุ่งมาศึกษา เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤๅ แท้ควรสหายคิด และตั้งจิตร่วมยึดถือ รับใช้ประชาคือปลายทางเราที่เล่าเรียน”
“ ความคิดว่า เส้นทางของคนที่มีปริญญาไม่ใช่ต้องไปเป็นเจ้า เป็นนายอย่างเดียว เราได้เห็นว่ายังมีประชาชนที่ยากไร้ ยังไม่รู้บทบาทกฎหมาย วันนั้นการพัฒนาในบ้านเราล้าหลังมาก การที่เราเข้ามาเป็นตัวแทนและเป็นปากเสียงในรัฐสภา ก็จะทำให้รัฐบาลเห็นความยากลำบาก ทำให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น”
สำหรับหัวใจการทำงานของการเป็นบุคคลสาธารณะ คือเรื่องสุจริต ซึ่งเขาเองบอกว่ากล้าพูดได้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นคนภาคอีสาน คนภาคใต้ ต่างก็เกลียดคนที่ทุจริต คนคดโกงเหมือนกัน ทำงานการเมืองมาตั้งแต่ปี 2529 จนถึงปัจจุบันกว่า 30 ปีแล้ว ไม่เคยมีคดี ไม่มีการฟ้องร้องในเรื่องอะไรเลย ไม่มีคดีในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะถือว่างานการเมืองของเราสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นกับตัวเราเลย คือเรื่องการทุจริต เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนเกลียดมาก
เมื่อเราถามถึงความรู้สึกเมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้เขาเองต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากในขณะนั้นนั่งเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งจุดนี้เขาเองบอกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม
และ แม้ตอนนั้นเกษม ได้ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว แต่ก็ยังมีไฟ เมื่อกฎหมายไม่ให้เราออกหน้าเล่นการเมือง เราก็หันไปอยู่เบื้องหลัง ไปเป็นติวเตอร์ให้รุ่นน้อง
@ ออกกำลังลดความเครียด
เมื่อถูกลดบทบาททางการเมือง เขาจึงทำให้มีเวลาว่างที่จะไปออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะหากหมกมุ่นมากก็จะทำให้จิตใจเครียด ซึ่งการออกกำลังกายที่เขาชอบมากที่สุด คือการเข้าฟิตเนส ที่ได้ออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงการไปเที่ยวพักผ่อนในต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ
“ ตอนที่ผมเป็นส.ส.ต้องรับผิดชอบพื้นที่จำกัด พอมีเวลาว่างก็อยากไปดูจังหวัดอื่นบ้าง ผมชอบไปเที่ยวภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดกระบี่ สิ่งที่ทำให้ผมชอบไปภาคใต้ ส่วนหนึ่งเพราะผมอยากรู้ว่า ทำไมความคิดของคนเมืองและคนชนบท จึงไม่เหมือนกัน ทั้งที่อยู่ประเทศไทยเหมือนกัน แต่กลับต่างกันอย่างกับขาวกับดำ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอน 10 ปีหลังนี้เอง”
เกษม มักบอกกับลูก ๆ ของเขาเสมอว่า ไดโนเสาร์ตายเพราะปรับตัวเข้ากับความเจริญของโลกไม่ได้ ให้ลูกดูคนในอดีตที่เติบโตมาจากการทุจริต การคดโกง ถ้าในอนาคตไม่ทำตัวให้ดีขึ้น เขาก็จะต้องติดคุก
“ ลูกผมเหมือนผ้าขาว ผมไม่ยอมให้ลูกทำในเส้นทางที่ผิด ไม่เอาสีไปแต้มผ้าขาวให้ลูก ผมโชคดีที่ลูกเรียนเก่งจบมามีงานทำทุกคน ผมเคยบอกลูกว่า อย่าคิดที่จะมาเล่นการเมือง ให้ทำงานที่ตัวเองถนัดและทำด้วยความสุจริต อย่าคิดรวยทางลัด”
@ “อภิสิทธิ์” คนที่ศรัทธา
และแม้จะอยู่กันต่างพรรค แต่เกษม ก็เปิดใจว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาเองมีความศรัทธา กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และกล้าบอกกับลูก ๆ เลยว่าคุณอภิสิทธิ์ เป็นคนที่สามารถยกไหว้ได้อย่างสนิทใจ “ ผมไม่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ เป็นนักการเมืองในอุดมคติและทิศทางของผม ผมสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็อยากเห็นคุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี”
เมื่อถามถึงการหวนกลับมาเล่นการเมือง เกษม ก็บอกกับเราอย่างหนักแน่น “คงไม่เอาแล้วในเส้นทางการเมือง เพราะไม่สร้างอะไรเลย ทุกอย่างถูกเขียนไว้หมดแล้ว”
ด้วยกติการัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นรูปแบบปี 2521 มีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ หมายความว่า คนชนะเลือกตั้งทำอะไรไม่ได้ นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง การเมืองรูปแบบนี้ เราเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
เมื่อเราเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ รอเป็นผู้ชม คอยสนับสุนนพรรคการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เข้าคูหากาบัตรดีกว่า เพราะทิศทางวันนี้ของประเทศไม่มีอะไรที่หวือหวา นักการเมืองมีแต่สีสันจะไม่มีสาระ เพราะสาระถูกกำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญหมดแล้ว
วันนี้ “รื่นรมย์คนการเมือง” ได้เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งพูดคุยสบายๆ กันนอกสถานที่กับ “เกษม รุ่งธนเกียรติ” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และ1 ในสมาชิกกลุ่ม 16 ที่มานั่งเล่าย้อนอดีตถึงเส้นทางการเมืองตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา พร้อมเปิดมุมมองในห้วงเวลาที่การเมืองปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป
เกษม บอกว่า แม้ว่าประเทศขณะนี้อยู่ในห้วงเวลาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง แต่เกษมก็ไม่ได้หยุดคิดในเรื่องการเมือง เพราะเขาจะใช้เวลาที่ไปพบปะกับเพื่อนเก่า ทั้งสมัยเรียนชั้นมัธยม เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิก “กลุ่ม 16” ที่จะนัดรับประทานอาหารกันเดือนละครั้ง เพื่ออัพเดตการเมืองใหญ่ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
@ ย้อนวันวานบนถนนการเมือง
เกษม เล่าย้อน วันวานเมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่อายุ 28 ปี หลังจากเรียนจบนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งช่วงที่เรียนจบเป็นช่วงที่การเมืองกำลังเริ่มต้น กำลังพัฒนาก้าวสู่ประชาธิปไตยค่อนข้างที่จะเต็มใบ ในปลายสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
พอกลับมาบ้านได้เห็นความยากจน ความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบท ก็คิดว่าน่าจะใช้วิชาทางกฎหมายมาแก้ไขปัญหาให้พวกเขา เพราะวันนั้นประชาชนไม่รู้กฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เลยมีความคิดว่า น่าจะเป็นตัวแทนที่จะมาเป็นปากเป็นเสียงได้ดี
ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าคนในพื้นที่ยังไม่รู้จัก แต่ด้วยเพราะบารมีของคุณแม่ที่ทำการค้ากับคนในพื้นที่และตัวเขาเองก็เป็นเนติบัณทิต ซึ่งทุกคนก็แปลกใจว่า คนที่มีการศึกษาระดับนี้ ส่วนใหญ่จะไปเป็นอัยการเป็นผู้พิพากษา แล้วทำไม ถึงมายืนบนหลังคารถจับไมค์ปราศรัยกับประชาชน ซึ่งมันเป็นของใหม่ของพวกเขา
“ เพราะในอดีตก่อนปี 2529 คนที่จะมาเป็นส.ส. จะมาจากกำนันเก่า ผู้ใหญ่บ้านเก่า ที่มีบารมี แต่พอประชาชนเห็นบทบาทผมบนหลักคารถ ที่ชี้แจงทำความเข้าใจถึงผลทางกฎหมาย ก็ทำให้เกิดความศรัทธา บวกกับบารมีของคุณแม่ ทำให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนั้น”
@ ขึ้นหลังคารถปราศรัย จากจิตวิญญาณ
เมื่อเราถามความรู้สึก ในสมัยหนุ่มๆที่โดดขึ้นหลังคารถ จับไมค์ปราศรัยกับประชาชน เกษม ก็เล่าย้อนอดีตด้วยสีหน้าที่อมยิ้มว่า ตอนที่เรียนธรรมศาสตร์ช่วงนั้น เป็นช่วงที่เหตุการณ์บ้านเมืองตื่นตัวมาก เป็นยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 และยุค 6 ต.ค. 2519 มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองค่อนข้างเข้มข้น
พอตกเย็นเกษม ยังไม่กลับบ้านแต่จะไปนั่งฟังนักการเมือง นักศึกษามาปราศรัยที่ลานโพธิ์ ที่สนามหลวง ทำให้มีจิตวิญญาณอยากที่จะเล่นการเมือง พอเราไปยืนบนหลังคารถ ก็ทำให้นึกภาพในอดีต ทำให้เราสนุกไปกับมัน และพอประชาชนเขาตั้งใจฟังที่เราพูด เราก็ยิ่งมีความภาคภูมิใจว่า เราจะเป็นเส้นทางหนึ่งที่พาพวกเขารอดพ้นความยากจนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่เมื่อได้มาเป็นนักการเมืองในสมัยปี 2529 เกษมกลับบอกว่ารู้สึกน้อยใจ เพราะไม่เหมือนสิ่งที่เราคิดเอาไว้เมื่อครั้งที่อยู่มหาวิทยาลัย การเมืองวันนั้นมีแต่สีสัน ไม่มีสาระ นักการเมืองออกมาถกเถียง ดีเบต ใช้สำนวนเชือดเฉือน การเมืองไม่ได้แก้ปัญหาของประชาชน ซึ่งการเมืองที่สาระจริง ๆก็ตอนสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่พูดแล้วทำ พอชนะเลือกตั้งก็ทำ ถามว่าตั้งแต่ ปี/2529- 2540 ทำอะไรเป็นชิ้นอันไม่มีเลย เพราะกำหนดด้วยแผนพัฒนาประเทศของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
@ “ทำไม ไม่เป็นอัยการ ?”
“ ทำไม ไม่เป็นอัยการ?” เกษมบอกว่า คำถามนี้ตอนสมัครลงเลือกตั้งครั้งแรก ก็เจอบ่อยมาก บางคนมาบอกว่า ฐานะทางบ้านก็ดีทำไมไม่ไปสอบเป็นอัยการ เราก็บอกเขาไปว่าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะมีคำกลอนบทหนึ่งที่เขียนว่า “ เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤๅจะมุ่งมาศึกษา เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤๅ แท้ควรสหายคิด และตั้งจิตร่วมยึดถือ รับใช้ประชาคือปลายทางเราที่เล่าเรียน”
“ ความคิดว่า เส้นทางของคนที่มีปริญญาไม่ใช่ต้องไปเป็นเจ้า เป็นนายอย่างเดียว เราได้เห็นว่ายังมีประชาชนที่ยากไร้ ยังไม่รู้บทบาทกฎหมาย วันนั้นการพัฒนาในบ้านเราล้าหลังมาก การที่เราเข้ามาเป็นตัวแทนและเป็นปากเสียงในรัฐสภา ก็จะทำให้รัฐบาลเห็นความยากลำบาก ทำให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น”
สำหรับหัวใจการทำงานของการเป็นบุคคลสาธารณะ คือเรื่องสุจริต ซึ่งเขาเองบอกว่ากล้าพูดได้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นคนภาคอีสาน คนภาคใต้ ต่างก็เกลียดคนที่ทุจริต คนคดโกงเหมือนกัน ทำงานการเมืองมาตั้งแต่ปี 2529 จนถึงปัจจุบันกว่า 30 ปีแล้ว ไม่เคยมีคดี ไม่มีการฟ้องร้องในเรื่องอะไรเลย ไม่มีคดีในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะถือว่างานการเมืองของเราสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นกับตัวเราเลย คือเรื่องการทุจริต เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนเกลียดมาก
เมื่อเราถามถึงความรู้สึกเมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้เขาเองต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากในขณะนั้นนั่งเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งจุดนี้เขาเองบอกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม
และ แม้ตอนนั้นเกษม ได้ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว แต่ก็ยังมีไฟ เมื่อกฎหมายไม่ให้เราออกหน้าเล่นการเมือง เราก็หันไปอยู่เบื้องหลัง ไปเป็นติวเตอร์ให้รุ่นน้อง
@ ออกกำลังลดความเครียด
เมื่อถูกลดบทบาททางการเมือง เขาจึงทำให้มีเวลาว่างที่จะไปออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะหากหมกมุ่นมากก็จะทำให้จิตใจเครียด ซึ่งการออกกำลังกายที่เขาชอบมากที่สุด คือการเข้าฟิตเนส ที่ได้ออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงการไปเที่ยวพักผ่อนในต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ
“ ตอนที่ผมเป็นส.ส.ต้องรับผิดชอบพื้นที่จำกัด พอมีเวลาว่างก็อยากไปดูจังหวัดอื่นบ้าง ผมชอบไปเที่ยวภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดกระบี่ สิ่งที่ทำให้ผมชอบไปภาคใต้ ส่วนหนึ่งเพราะผมอยากรู้ว่า ทำไมความคิดของคนเมืองและคนชนบท จึงไม่เหมือนกัน ทั้งที่อยู่ประเทศไทยเหมือนกัน แต่กลับต่างกันอย่างกับขาวกับดำ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอน 10 ปีหลังนี้เอง”
เกษม มักบอกกับลูก ๆ ของเขาเสมอว่า ไดโนเสาร์ตายเพราะปรับตัวเข้ากับความเจริญของโลกไม่ได้ ให้ลูกดูคนในอดีตที่เติบโตมาจากการทุจริต การคดโกง ถ้าในอนาคตไม่ทำตัวให้ดีขึ้น เขาก็จะต้องติดคุก
“ ลูกผมเหมือนผ้าขาว ผมไม่ยอมให้ลูกทำในเส้นทางที่ผิด ไม่เอาสีไปแต้มผ้าขาวให้ลูก ผมโชคดีที่ลูกเรียนเก่งจบมามีงานทำทุกคน ผมเคยบอกลูกว่า อย่าคิดที่จะมาเล่นการเมือง ให้ทำงานที่ตัวเองถนัดและทำด้วยความสุจริต อย่าคิดรวยทางลัด”
@ “อภิสิทธิ์” คนที่ศรัทธา
และแม้จะอยู่กันต่างพรรค แต่เกษม ก็เปิดใจว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาเองมีความศรัทธา กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และกล้าบอกกับลูก ๆ เลยว่าคุณอภิสิทธิ์ เป็นคนที่สามารถยกไหว้ได้อย่างสนิทใจ “ ผมไม่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ เป็นนักการเมืองในอุดมคติและทิศทางของผม ผมสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็อยากเห็นคุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี”
เมื่อถามถึงการหวนกลับมาเล่นการเมือง เกษม ก็บอกกับเราอย่างหนักแน่น “คงไม่เอาแล้วในเส้นทางการเมือง เพราะไม่สร้างอะไรเลย ทุกอย่างถูกเขียนไว้หมดแล้ว”
ด้วยกติการัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นรูปแบบปี 2521 มีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ หมายความว่า คนชนะเลือกตั้งทำอะไรไม่ได้ นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง การเมืองรูปแบบนี้ เราเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
เมื่อเราเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ รอเป็นผู้ชม คอยสนับสุนนพรรคการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เข้าคูหากาบัตรดีกว่า เพราะทิศทางวันนี้ของประเทศไม่มีอะไรที่หวือหวา นักการเมืองมีแต่สีสันจะไม่มีสาระ เพราะสาระถูกกำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญหมดแล้ว