เชื่อว่าการเผชิญหน้ากับ “สงครามไวรัสโควิด-19” ที่กำลังโจมตีประเทศไทย อย่างหนักหน่วงเช่นนี้ ย่อมเป็น “สนามรบ” ที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยคาดคิด ว่าจะต้องเข้ามากู้วิกฤติ โดยมี “ประเทศ”เป็นเดิมพัน และนั่นหมายความว่า หากเป็นการต่อสู้ ที่มีเดิมพันสูงลิบลิ่วเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีสิทธิ์ “พ่ายแพ้” พล.อ.ประยุทธ์ อดีต “ผู้บัญชาการกองทัพบก” จะต้องสู้ เพื่อให้ชนะสงคราม แล้วเดินกลับออกไปอย่าง “ผู้ชนะ” เท่านั้น เพราะหาก เกมนี้ต้องเป็นฝ่ายปราชัย ย่อมหมายถึงความพ่ายแพ้ทั้งกระดาน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ประเทศชาติ รัฐบาล และแม้แต่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ เอง ! การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ได้เกิดความชัดเจนว่า “ข่าวลือ” ที่สะพัดมาก่อนหน้านี้ว่า ที่สุดแล้วก็กลายเป็นความจริง เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้ตัดสินใจประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ไวรัสโควิด-19 หวังที่จะหยุดยั้งไม่ให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พาประเทศไทยเดินไปสู่วิกฤติ เหมือนกับที่หลายประเทศในยุโรป กำลังประสบอยู่ “ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอให้คำมั่นสัญญากับทุกคนว่า ผมจะเดินหน้าสุดความสามารถ เพื่อนำประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของ ประชาชนชาวไทยทุกคนเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่น และร่วมมือกัน ฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน จะต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เราจะสู้ไปด้วยกัน และเราจะชนะไปด้วยกัน” บางถ้อยบางตอนจากการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการประกาศพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการออกมาแถลงอย่างเป็นทางการ เมื่อภายหลังจากที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ “ยาแรง” เพื่อยกระดับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด หากถอดใจความสำคัญของการแถลงของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งใช้เวลากว่า 20 นาที คือความตั้งใจที่จะสื่อสารและส่งผ่านความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของ “ผู้นำรัฐบาล”ไปยังพี่น้องประชาชน ขอให้เชื่อมั่นในตัวพล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะพาทุกคนก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้ไปให้จงได้ ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือนที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับบทหนัก แบกรับทั้งปัญหาและความคาดหวังจากผู้คนทั่วประเทศว่า สถากนการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของไทยจะไม่ก้าวไปสู่ “ขั้นเลวร้าย” เหมือนกับหลายประเทศในยุโรป ทั้งประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส ที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นไปแตะหลักแสน มีจำนวนผู้เสียชีวิตรายวัน นับหมื่นราย จาก170 ประเทศทั้งหมดที่พบผู้ติดเชื้อไวรัส หากถามแรงกดดันและสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ เผชิญหน้ากับสงครามไวรัส ครั้งนี้หนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็คงสะท้อนได้จาก สภาพที่อิดโรย หน้าตาเคร่งเครียดและร่างกายที่ผ่ายผอมอย่างเห็นได้ชัด จนสื่อทำเนียบฯต้องออกปากทัก ซึ่งตัวนายกฯเองก็เอ่ยปากยอมรับว่า “ผอมลง” เมื่อสงครามเชื้อไวรัส คือปัญหาใหญ่ระดับโลก ต้องอาศัยการบริหารจัดการมในทุกมิติ ให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน แน่นอนว่านี่คือ สนามรบที่ไม่มีการใช้ “อาวุธยุทโธปกรณ์” ขึ้นมาห้ำหั่น กันจนแพ้ชนะ หากแต่สงครามครั้งนี้ ในฐานะผู้นำรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมต้องอาศัย “แม่ไม้” ทุกวิถีทาง เพื่อรับมือ ทั้งความเด็ดขาด ไปจนถึงการหาทางประนีประนอม “สยบศึก” ที่รบกวนจิตใจที่ผุดขึ้นมาตามรายทางให้อยู่ในความสงบ ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ กำลังเปิดศึกหลายทาง รับมือกับสารพัดปัญหา จนทำให้ “เสียงานใหญ่” ! เวลานี้ทำเนียบรัฐบาล และตึกไทยคู่ฟ้า สถานที่ทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ แทบไม่เคยได้ว่างเว้น เพราะนายกฯต้องเรียกประชุมด่วนทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง อีกทั้งยังหารือ “วงใน”กับ บุคลากรทางการแพทย์ และโดยเฉพาะกับ “ทีมอาจารย์หมอ” เพื่อรับฟังทุกข้อมูล รับรู้ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนนำมาสู่การตัดสินใจออกมาตราการและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตามมา เพื่อยกระดับขึ้นสู่การบังคับใช้ “มาตรการขั้นสูงสุด” วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้สวมหมวกใบสำคัญ ในฐานะ “ ประธานศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา2019” เป็นเสมือน “แม่ทัพใหญ่” ที่ต้องพาทุกคนฝ่าวงล้อมสงครามไวรัสครั้งนี้ไปให้ได้ ความจำเป็นที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตัดสินใจใช้กฎหมายแรง อย่างพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครั้งนี้สืบเนื่องจากแนวโน้มของสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 กำลังดิ่งลงสู่ “จุดวิกฤติ” ภายในชั่วระยะเวลาเพียง 1สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งเข้าหลักพันไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เมื่อราวต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา พบยอดผู้ติดเชื้อราว 50 รายมีผู้เสียชีวิต 1 ราย แต่ปรากฎว่า ณ วันที่ 26 มีนาคม จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 1,045ราย มีผู้เสียชีวิต 4 ราย มียอดเพิ่มขึ้น วันละกว่า100 รายในช่วง2-3 วันก่อนที่ยอดจะแตะหลักพัน ก่อนหน้านี้ ในระหว่างทางที่รัฐบาลเดินหน้าหาทางรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่นั้นก็พลันเกิดปัญหา “หน้ากากอนามัย”ขาดแคลน และยังมีข้อครหาว่า “คนใกล้ชิด”กับรัฐมนตรีเองมีส่วนเข้าไปพัวพันจนกลายเป็น “สนิม” ที่เกิดจากเนื้อในรัฐบาล และจนถึงวันนี้นอกจากรัฐบาลจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนได้แล้ว ยังเกิดปัญหาซ้ำเพิ่มเข้ามาเมื่อบุคลกรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็น “นักรบชุดชาว” กลับขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์แทบทุกอย่าง บางโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ถึงกับต้องบริจาคเงินเพื่อตัดชุดผ่าตัดเอาไว้ใช้กันเอง จนทำให้มีเสียงโจมตีว่า รัฐบาลควรตัดงบจากการจัดซื้ออาวุธ แล้วมาสนับสนุนงบประมาณให้กับการแพทย์ ซึ่งัชบัดนี้ถือเป็น “นักรบแนวหน้า” สู้ศึก เพื่อคนไทยทั้งประเทศ จะดีกว่าหรือไม่ ? นอกจากนี้ที่ผ่านมา ยังพบว่ารัฐบาลถูกวิจารณ์อย่างหนัก ว่าไร้มาตรการรองรับทั้งการกักตัวของผู้ที่ไปทำงานที่เกาหลีหรือ “ผีน้อย”อย่างรัดกุม จนสุดท้ายบรรดาผีน้อย นอกจากจะไม่ยอมกักตัวอยู่ที่บ้านแล้วยังเดินสายไปตามที่ต่างๆ จนทำให้สังคมตกอยู่ในอาการ “ตระหนก” กันถ้วนหน้า ในห้วงเวลานั้น มีเสียงเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจ “ปิดเมือง ปิดประเทศ” เพื่อใช้ “ยาแรง” หยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส กันตั้งแต่ยอดผู้ป่วยติดเชื้อแตะที่หลักร้อย แต่คนในรัฐบาลกลับมั่นใจว่า “เอาอยู่ !” ความรุนแรง ของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส เพิ่มระดับมากขึ้น เส้นกร๊าฟของผู้ติดเชื้อ พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความเชื่อมั่นของรัฐบาลถูกสั่นคลอน อย่างหนักเช่นกันทั้งจากการบริหารจัดการ ไปจนถึงเรื่องหน้ากากอนามัยที่ล่องหน แต่แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้าย ดิ่งลงสู่วิกฤติชนิดที่ยากจะกู้คืน พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องตัดสินใจใช้ “ยาแรง” ขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับสงคราม พาประเทศชาติให้รอด ให้จงได้ แน่นอนว่าการยกระดับมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คลุมทั่วทั้งประเทศ รอบนี้ ประหนึ่งเป็น “อาวุธ” ที่พล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจว่า จะสามารถ เอาชนะสงครามไวรัสได้ โดยจะชะลอไม่ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะยานไปจนถึงหลักหมื่น เพราะหากเป็นเช่นนั้นทั้งแพทย์ พยาบาล ตลอดจนโรงพยาบาล จะไม่มีทางรองรับผู้ป่วยได้อย่างแน่นอน นอกเหนือไปจากคำขอร้อง จากรัฐบาลที่ว่า “อยู่บ้าน เพื่อชาติ” งดการเดินทาง งดการติดต่อ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดแล้ว จากนี้ไป มาตรการที่จะตามออกมา เมื่อประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปแล้วหากยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โอกาสที่พล.อ.ประยุทธ์ จะประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิวส์ทั่วประเทศ ย่อมเป็นไปได้สูง การต่อสู้ของบิ๊กตู่ ครั้งนี้ จึงมีทางเลือกเดียว นั่นคือ “ต้องชนะ” พาประเทศชาติและประชาชนให้รอดพ้นจากวิกฤติไปให้ได้ตามให้คำมั่นเอาไว้ เพราะถ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “เอาไม่อยู่” ตัวบิ๊กตู่เองก็อยู่ไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง !