คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ขณะที่เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลกจนสร้างความสับสนอลหม่านและยังได้สร้างความสะเทือนใจต่อความสูญเสียของมวลมนุษยชาติอย่างมหาศาล แต่ในทางกลับกันหากจะมองไปถึงการบริหารประเทศชาติบ้านเมืองแล้วนั้น สถานการณ์ที่แสนจะวิกฤติรุนแรงครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงภาวะการเป็นผู้นำของแต่ประเทศได้เป็นอย่างดีอีกด้วย!!! แม้กระทั่งประเทศพี่เบิ้มยักษ์ใหญ่เยี่ยงสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเดิมเริ่มแรกดูเหมือนว่าภาวะในการเป็นผู้นำของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นเสมือนดั่งซุปเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับเสียงชื่นชมแซ่ซ้องอย่างกระหึ่มก้องโลก (รวมทั้งผมด้วย) แต่ขณะนี้ท่าทีของเขากลับหมุนเปลี่ยนตาลปัตรเดินสวนทางกับข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญทั้งฝ่ายการแพทย์และฝ่ายสาธารณสุขทั่วประเทศสหรัฐฯรวมไปถึงเหล่าบรรดาทีมแพทย์ที่ปรึกษาใกล้ตัวของเขาอีกด้วย โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณะสุขส่วนใหญ่ออกมากล่าวเสนอว่า การป้องกันมิให้ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดขยายตัวไปอย่างรวดเร็วนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การใช้มาตรการเข้มข้นให้คนอเมริกันกักตัวอยู่แต่ในบ้าน (Lockdown) รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีประชากรหนาแน่นกว่า 40 ล้านคน โดยผู้ว่าฯของรัฐนี้ได้ออกมาประกาศนโยบายเข้มให้ชาวแคลิฟอร์เนียกักตัวอยู่แต่ในบ้าน เพื่อลดการแพร่ขยายเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เรื่องกฎหมายหรือเรื่องอะไรก็ตามส่วนใหญ่รัฐแคลิฟอร์เนียจะเป็นรัฐแรกๆที่เริ่มจุดประกาย โดยมีรัฐอื่นๆเดินตามมาภายหลัง!!! ขณะนี้มีรัฐอื่นๆถึง 15 รัฐ ทางซีกตะวันออกและซีกตะวันตกที่ออกมาสนองนโยบายเดินตามรอยรัฐแคลิฟอร์เนีย แท้จริงแล้วมาตรการเข้มข้นเยี่ยงนี้ดูเหมือนว่าเป็นไปตามเป้าหมายหลักขององค์การอนามัยโลก อนึ่งตามหลักสถิติแล้วหากใช้มาตรการดังกล่าวสามารถจะคาดการณ์ได้ค่อนข้างดีว่า “อะไรจะเกิดขึ้น” เพราะหากปล่อยปละละเลยแล้ว นอกจากจะเพิ่มยอดของผู้ติดเชื้อและเพิ่มยอดของผู้เสียชีวิตมากขึ้น ก็ยังจะสร้างปัญหาให้กับโรงพยาบาลที่ไม่สามารถจะรับจำนวนของคนไข้ได้ อีกยังจะต้องเสียงบประมาณของประเทศชาติอีกมากมายมหาศาล!!! สำหรับมาตรการ Social distancing ซึ่งได้แก่การสร้างระยะห่างระหว่างเรากับคนอื่นๆทั้งทางบังคับและโดยสมัครใจ ก็นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการลดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม “ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา” คณบดีแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ก็ได้ออกมาเสนอแนะมาตรการดังกล่าว โดยท่านกล่าวว่า “ควรที่จะป้องกันชีวิตของเราไว้ก่อน” ส่วนคณบดีแพทย์ในทุกๆมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกาต่างเห็นพ้องต้องกันกับมาตรการเข้มดังกล่าว ดังเช่น คณบดีมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย คณบดีมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก คณบดีมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองซานฟรานซิสโก เป็นต้นโดยผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ได้ร่วมกันเขียนลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ วันที่ 24 มีนาคมนี้ว่า “ขอให้ร่วมมือกันกักตัวเองอยู่ในบ้าน เพื่อช่วยชีวิตผู้คน มิใช่แห่ออกจากบ้านเพื่อช่วยกลุ่มนักธุรกิจวอลสตรีท” ขณะที่ทั้งอังกฤษและประเทศอินเดียต่างออกมาประกาศปิดประเทศ แต่ในทางกลับกันประธานาธิบดีทรัมป์กลับออกมาแสดงอาการโมโหโกรธาต่อนโยบาย Social distancing โดยเขาได้ออกมาอ้างอย่างน่าหวั่นวิตกแทนอเมริกันชนทุกๆชีวิตว่า “เชื้อไวรัสโควิด-19 ก็เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่นั่นแหละ” แถมยังคิดวิปริตอ้างปะปนกับผู้ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเอ่ยปากว่า “ไวรัสโควิด-19 คงจะลดลงไปเรื่อยๆและสูญพันธุ์ไปในที่สุด” แต่ขณะนี้กลับตรงกันข้าม เพราะสหรัฐฯมียอดของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก อีกทั้งยังมีสมาชิกผู้แทนฯ 2 คนและวุฒิสมาชิกอีก 1 คนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าไปแล้ว!!! ส่วน “แอนดรูว์ คัวโม” ผู้ว่าฯแห่งรัฐนิวยอร์ก เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังแสดงท่าทีเป็นพันธมิตรต่อประธานาธิบดีทรัมป์ แต่มาสัปดาห์นี้กลับแสดงท่าทีหมางเมินถอยห่าง โดยเขาได้ออกมากล่าวประณามรัฐบาลกลางว่า “พึ่งพาอะไรมิได้เลย” เนื่องมาจากรัฐนิวยอร์กร้องขอ เครื่องช่วยหายใจ 30,000 เครื่อง ให้แก่ผู้ป่วย แต่กลับได้รับเพียง 400 เครื่อง โดยเขาได้ชี้แจงว่า ยอดของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่รัฐนิวยอร์กมีกว่า 25,000 ราย หรือมากเกินสองเท่าตัวของรัฐอื่นๆและยังเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวในทุกๆสามวัน มีผลทำให้ขณะนี้ผู้ว่าฯคัวโมได้กลายเป็นกระบอกเสียงคนสำคัญที่ออกมาต่อสู้เกี่ยวกับโรคระบาดร้ายแรงครั้งนี้ไปแล้ว!!! ส่วนผู้ติดเชื้อของประเทศต่างๆจนถึงวันที่ 25 มีนาคมนั้น ปรากฏว่าอิตาลีมียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 6,820 ราย สำหรับยอดผู้ติดเชื้อของประเทศไทย ณ วันพุธที่ 25 มีนาคม 2020 อยู่ที่ 934 คน และมีผู้เสียชีวิต 4 ราย อยู่ในอันดับที่ 32 ของโลกจาก 165 ประเทศ สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมานี้ จากยอดของวงเงินจำนวนหนึ่งล้านล้านเหรียญ แต่ขณะนี้ได้เพิ่มยอดขึ้นเป็นสองล้านล้านเหรียญแล้วนั้น ผลปรากฏออกมาว่า “วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์” ผู้นำของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาได้ประกาศยับยั้งร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ถึงสองวาระด้วยกัน เนื่องมาจากเขาต้องการให้นโยบายนี้เข้าไปปกป้องและกระตุ้นเศรษฐกิจของบรรดาธุรกิจขนาดย่อมรวมถึงผู้คนในระดับล่างด้วยเช่นกัน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์เอง ก็ไม่สามารถจะชี้นิ้วบงการได้ดั่งใจชอบ เพราะร่างกฎหมายนี้จะต้องผ่านวุฒิสภาอย่างน้อย 60 เสียงขึ้นไป แต่พรรครีพับลิกันมีเพียง 53 เสียง และหากพรรคเดโมแครตไม่เห็นพ้องด้วย นโยบายนี้ก็จะไม่มีทางผ่านร่างกฎหมายอย่างแน่นอน!!! อนึ่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากการรุกเร้าของพรรคเดโมแครตวางแผนให้กระทรวงการคลังส่งเงินสดไปยังอเมริกันทุกๆคนที่เสียภาษีอย่างถูกต้อง หากกลับย้อนไปมองถึงคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์จากผลของสำนักหยั่งเสียงชื่อดังและน่าเชื่อถือมากที่สุดสำนักหนึ่งนั่นก็คือ Emerson College poll ซึ่งได้ออกมาระบุว่าขณะนี้โจ ไบเดนกำลังมีคะแนนนิยมนำเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 53 ต่อ 47% กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิกเฉยมิยอมตระหนักถึงข้อเท็จจริงเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด19 ว่า สหรัฐฯกำลังอยู่ในกลุ่มสุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะเขาไม่กระตือรือร้นเข้าไปร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน แถมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสนั้น ทำให้เห็นไส้เห็นพุงของเขาแล้วว่า มิได้เห็นแก่ประชาชนตาฟ้าๆ เขียวๆและดำๆ แต่กลับมุ่งอุ้มชูธุรกิจยักษ์ใหญ่ และเป็นที่ประจักษ์แล้วเช่นกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มิได้แสดงภาวะผู้นำที่ดีและน่ายกย่องเหมือนดั่ง “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”ของจีนเลยแม้แต่น้อย ที่เขาสามารถแก้ไขประเทศที่กำลังอยู่ในวิกฤติให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีละครับ.