คนข้างวัด / อุทัย บุญเย็น
ในห้วง 2-3 สัปดาห์แล้ว ที่โลกผจญภัย “สงครามโรค” อย่างหนัก คือ การเผชิญกับโรคระบาดไวรัสที่เริ่มจากเมืองอู่ฮั่น (มณฑลหูเป่ย) ประเทศจีน หรือโรค coronavirus ซึ่งต่อมาเรียกว่า “โควิด-19” นั่นแหละ
โรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักอยู่ขณะนี้ เห็นจะเทียบได้กับ “สงครามโลก” ทีเดียว เพราะก่อผลกระทบเสียหายถึงทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์ไปมากมายไปทั้งโลก
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า 100 ปี มีโรคระบาดใหญ่เกิดขึ้นในโลกครั้งหนึ่ง เขาว่า การเกิดโรคระบาดเป็นการทำความสะอาด (Clean sweep) โลกนั่นเอง ระยะ 100 ปี ที่ว่านั่นคือ
“ค.ศ.1720 (พ.ศ.2263) เกิดกาฬโรค
ค.ศ.1820 (พ.ศ.2363) เกิดอหิวาตกโรค
ค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) เกิดไข้หวัดใหญ่
ค.ศ.2020 (พ.ศ.2563) เกิดโรคโควิด-19 (Corona virus)”
แต่เท่าที่อ่านพบในคัมภีร์ (ทางพุทธศาสนา) โรคระบาดเกิดมาเป็นระยะๆ (เราเรียกว่า “โรคห่า”) แม้แต่ในนิทานชาดก ซึ่งแสดงเรื่องราวก่อนสมัยพุทธกาล ก็กล่าวถึงโรคระบาด วิธีหนีตายจากโรคระบาดใช้คำว่า “ทำลายฝาบ้าน” หนีกันไม่คิดชีวิตทีเดียวแหละ
เข้าใจว่า เมื่อก่อน โรคระบาดเกิดขึ้นในแต่ละเมือง จบในเมืองนั้นๆ ไม่ลามไปไกลเหมือนสมัยปัจจุบัน การที่โรคระบาดไม่ลามไปไกลถึงเมืองอื่นๆ คิดว่าเป็นเพราะการเดินทางสมัยก่อนไม่รวดเร็วอย่างทุกวันนี้
ทุกวันนี้ โลกเข้าสู่ยุค “โลกาภิวัตน์” หรือ Globalization การคมนาคม ทั้งการสัญจร ทั้งการสื่อสาร (ส่งข่าว) ถึงกัน มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น จนทำให้โลกทั้งโลกแคบเข้า หนทางที่เคยไกล ก็ใกล้เข้ามา วันเวลาก็สั้นเข้า ระยะห่างระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ(ระหว่างภูมิภาค) เคยใช้เวลาในการเดินทางถึงกันเป็นหลายวัน เป็นเดือน หรือเป็นหลายเดือน ก็ถึงกันเร็วขึ้น เคยเดินทางด้วยเรือข้ามทะเล ก็เดินทางด้วยเครื่องบิน ไม่ช้าไม่นานก็ถึงกัน เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น โรคระบาดก็โลกาภิวัตน์ด้วย คือ แพร่ไปถึงต่างถิ่นต่างแดนต่างทวีปเร็วขึ้น
อันที่จริง โรคโควิด-19 ควรจะหมดฤทธิ์ในเมืองอู่ฮั่นนั่นแหละ แต่เมื่อโควิด-19 ต้องไปกับมนุษย์ (ไปกับลมหายใจของมนุษย์) โควิด-19 ก็เลยเดินทางได้รวดเร็วและได้ไกลสมกับเป็นโรคระบาดโลกาภิวัตน์นั่นเอง
โรคระบาดในสมัยโบราณก็คงเหมือนกับโรคระบาดในสมัยปัจจุบันนั่นแหละ แต่โรคระบาดในสมัยปัจจุบันน่ากลัวกว่า เพราะการสื่อสารถึงกันมีมากขึ้นด้วยเป็นยุคข่าวสาร มี “การเมือง” ทั้งในแต่ละประเทศและระหว่างประเทศผสมโรง ทำให้โรคระบาดมีความน่ากลัวอีกเท่าตัว (เป็นอย่างน้อย) อย่างที่มีข่าวว่าโรคโคโรนาไวรัส (Covid-19) เป็นอาวุธชีวภาพจากประเทศจีนนั่นแหละ โรคระบาดในสมัยปัจจุบัน จึงน่ากลัวไม่แพ้สงครามโลกที่ทำร้ายกันด้วยอาวุธ
สงครามโลกที่ทำร้ายกันด้วยอาวุธ (ปรมาณู) ครั้งที่ 2 ผมเกิดไม่ทัน ได้ฟังแต่คำบอกเล่า คิดว่าน่ากลัวกว่า “สงครามโรค” ที่กำลังปะทุอยู่เวลานี้ เพราะในสงครามโลก ไม่รู้ว่าลูกระเบิดจะปลิวมาเมื่อไรและจากทิศทางไหน บ้านเมืองเคยมีแสงไฟส่องสว่างก็ต้องปิดไฟ (แม้แต่ไฟฉายก็ใช้ไม่ได้) มานึกดู ก็คิดว่า สงครามโลกน่ากลัวกว่าสงครามโรค เพียงแต่ว่า (เท่าที่ได้เห็นจากภาพข่าว) ความรักและความตายในสงครามโรคโควิด-19 ไม่อาจจะแสดงออกได้อย่างปกติ คือคนที่ตายเพราะโควิด-19 เป็นที่น่าสะพรึงกลัว และน่ารังเกียจ(น่าเกลียดน่ากลัว) อย่างยิ่ง แม้แต่สำหรับคนที่เคยรักใคร่ใกล้ชิดกัน การแสดงความห่วงใยต่อกันอย่างปกติทำไม่ได้ เมื่อได้เห็นโลงศพชาวอิตาลีที่ตายเพราะโรคระบาด ซึ่งขนย้ายไปเผาเป็นทิวแถวก็นึกถึงศพที่ทิ้งเกลื่อนกลาดรอบเมืองเวสาลีในสมัยพุทธกาล คิดว่าคงมีสภาพเหมือนกัน เพียงแต่ว่า ข้างศพชาวอิตาลี(หรือชาวอิตาเลียน) ไม่มีผู้คนอยู่ใกล้เลย เพราะกลัวเชื้อโรคจากศพ ส่วนที่กองศพของชาวเมืองเวสาลีนั้นเชื่อกันว่า มี “อมนุษย์” (หรือวิญญาณของผู้ตาย) รายล้อมเต็มไปหมด
ที่กองศพ ณ เมืองเวสาลีครั้งนั้น เนื่องจากพระพุทธเจ้า (และภิกษุสงฆ์) เป็นที่เคารพเลื่อมใสของ(ทั้ง) แคว้นราชคฤห์และแคว้น วัชชี จึงมีการนิมนต์พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์หลายรูป (ใช้คำว่า 500 รูป) ไปทำพิธีมงคลขับไล่ “อมนุษย์” ให้หนีออกจากเมือง
แต่ดูจากเนื้อหาในรตนสูตร (ภาษาไทยใช้คำว่า “รัตนสูตร”) แล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ “ขับไล่” อมนุษย์หรือวิญญาณแต่อย่างใด กลับมีแต่การแสดงเมตตาต่ออมนุษย์ทั้งหลาย ให้พระอานนท์เรียนเอาและนำไปตั้งจิตแผ่เมตตารอบเมืองเวสาลี ให้อมนุษย์ทั้งหลายฟัง วันนี้จึงขอแสดงเนื้อหาในรตนสูตร ทั้งที่เป็นภาษาบาลี (ที่พระสงฆ์สมัยปัจจุบันใช้สวดในงานพิธีต่างๆ) และคำแปล(เป็นภาษาไทย) ดังนี้
บทที่ 1
ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิ ภุมมานิ วา ยานิว อนฺตลิกฺเข
สพฺเพว ภูตา สุมนา ภวนฺตุ อโทปิ สกฺกจฺจ
สุณนฺตุ ภาสิตํ ฯ
แปลว่า
“ภูต (วิญญาณที่เกิดเป็นชีวิตแล้ว) ทั้งหลายเหล่าใด
ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นดิน หรืออยู่ในอากาศ (อวกาศ) ก็ขอให้
ตาย ณ ที่นี้ ขอให้ภูตทั้งหมดจงมีน้ำใจดี
ฟังคำกล่าว (ในรตนสูตร) ด้วยความเคารพ”
(คำว่า “ภูต” (ในรตนสูตรนี้) หมายถึงสัตว์โลกในปรโลก ซึ่งเป็นชีวิตหนึ่ง แปลจากคำว่า “ภูตานิ” ส่วนอมนุษย์(ภูต) ที่อยู่บนพื้นดิน แปลจากคำว่า "ภุมมานิ" (ซึ่งไทยเราถือว่าเป็นพระภูมิเจ้าที่นั่นกระมัง) และอมนุษย์ที่อยู่ในอากาศ แปลจากคำว่า "อนฺตลิกฺเข คำว่า อนฺตลิกฺเข นี้ มักจะแปลกันว่าในท้องฟ้า แต่ความจริง รวมไปถึง “อวกาศ” ด้วย)
บทที่ 2
ตสฺมา หิ ภูตานิ สาเมถ สพฺเพ เมตฺตํ กโรถ
มานุสิยา บชายฺ
ทิวา จ รตฺโต จ นรนฺติ เย พลึ ตสฺมา หิ เน
รกฺขถ อปฺปมตฺตา ฯ
แปลว่า
“ฉะนั้น ภูตทั้งหลายเอย ขอท่านจงฟัง ขอให้ท่านเป็นมิตรกับชาวมนุษย์ หมู่มนุษย์ที่นำเครื่องพลีกรรม
(สิ่งของและอาหารที่นำมาทำบุญ) แก่พวกท่าน ทั้งในกลางวัน
และกลางคืน ท่านทั้งหลายจงปกป้องคุ้มครองพวกมนุษย์
เหล่านั้น อย่าได้ประมาท (อย่าลืม)”
บทที่ 3
ยํ กิญจิ วิตฺตํ อิธ วา ทุรํ วา สคฺเคสุ วา ยํ
รตนํ ปณีตํ นโน สมฺ อตฺถิ ตถาคเตน อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ ฯ
แปลว่า
“ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือรัตนะ (ของมีค่า) อัน
ดีงามสูงส่ง ในโลกนี้หรือในโลกอื่น หรือในสวรรค์
ชั้นใดๆก็ตาม ที่จะเสมอด้วยพุทธรัตนะ (หมายถึง
พระพุทธเจ้า) ไม่มีเลย ด้วยสัจจะ (สัจจวาจา) นี้ขอความสวัสดี (ความปลอดภัย) จงเกิดมี”
(ตั้งแต่พระคาถาบทที่ 3 ถึงบทที่ 14 กล่าวถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นรัตนะอย่างไร คือมีคุณค่าอย่างไร ขอแสดงรวม (พร้อมทั้งคำแปล) ดังนี้)
บทที่ 4
ขยํ วิราคํ อมตํ ปณีตํ ยทชฺฌคา สกฺยมุนี
สมานิโต
น เตน ธมฺเมน สมตฺถิ กิญฺจิ อิทมฺปิ ธมฺเม รตนํ
ปณีตํ
เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ
แปลว่า
“พระธรรม (คำสอนของพระพุทธเจ้า) อันเป็นที่สิ้นกิเลส
สิ้นราคะ เป็นอมตะ มีคุณค่าสูงส่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้มี
จิตเป็นสมาธิทรงบรรลุแล้ว ไม่มีคำสอนใดๆ เสมอเหมือน
ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดี จงเกิดมี”
บทที่ 5
ยมฺพุทฺธเสฏฺโร ปริวณฺณยี สุจึ สมาธิมานนฺตริกญฺญมา
หุ
สมาธินา เตน สโม น วิชชติ อิทมฺปิ ธมฺเม
รตนํ ปณีตํ
เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ
แปลว่า
“สมาธิ อันพระพุทธเจ้าทางสรรเสริญว่าเป็นสิ่งอันบริสุทธิ์หมดจดที่เรียกกันว่า อานันตริกสมาธิ ไม่มี
สมาธิชนิดใดๆ เสมอเหมือน ด้วยสัจวาจานี้ ขอ
ความสวัสดี จงเกิดมี”
(“อานันตริกสมาธิ” หรือ “อนนฺติริกสมาธิ” หรือ “อนนฺตริย สมาธิ” หมายถึงสมาธิเพื่อการตรัสรู้ เพื่อสิ้นกิเลส เป็นสมาธิเพื่อวิปัสสนา (เพื่อพิจารณาเห็นแล้วในทุกข์) เป็นสมาธิที่พระพุทธเจ้า ทรงยกย่องว่า ยอดเยี่ยมกว่าสมาธิ อื่นใด)
ตั้งแต่พระคาถาบทที่ 6 ถึงบทที่ 14 กล่าวถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ขอแสดงทั้งพระคาถาภาษาบาลีและคำแปล รวมกัน ตามลำดับ ดังนี้
บทที่ 6
เย ปุคฺคลา อฏฺฐสตํ ปสตฺถา จตฺตาริ เอตานิ ยุคานิ
โหนฺติ
เต ทกฺขิเณยยา สุคตสฺส สาวกา เอเตสุ ทินฺนานิ
มหปฺปผานิ
อิทมฺปิ สงเฆ รตนํ ปณีตํ เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ
โหตุฯ
แปลว่า
“พระอริยบุคคล 8 จำพวก ที่สัตบุรุษทั้งหลายยกย่องเชิด
ชู ท่านเหล่านั้นเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า คู่ควรแก่การ
ทำบุญให้ทาน ทานที่ท่านถวายแก่พระอริยสาวก มีอานิสงส์มาก
ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดี จงเกิดมี”
(โปรดสังเกตว่า พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญแก่พระสาวก(พระสงฆ์)
อย่างไร ในพระคาถา “รตนสูตร” นี้ ทรงแนะนำให้ทำบุญกับพระสงฆ์ แทนที่จะเป็นพระองค์เอง)
พระคาถาใน “รตนสูตร” ที่พระสงฆ์นิยมนำมาสวดในพิธีต่างๆ (และจะสวดตามคำนิมนต์ของรัฐบาลครั้งนี้) ยังไม่จบครับ ขอแสดงให้เห็นเนื้อหาของรตนสูตรต่อในฉบับหน้าครับ