ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย ทุกวันนี้ความเป็นมหาอำนาจเดียวของโลก ของสหรัฐฯภายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็น เริ่มเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ ในขณะที่รัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีปูตินเริ่มฟื้นตัว และสร้างความเข้มแข็งทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้ว่าความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจะยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็ดีกว่ายุคสมัยการล่มสลายของสหภาพโซเวียดมาก ส่วนจีนเองภายหลังจากการเติบโตภายใต้นโยบายหนึ่งประเทศสองระบบของผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิงแล้ว การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนก็ค่อยๆเติบโตมาตามลำดับ ครั้นมาถึงยุคสีจิ้นผิง จีนก็พุ่งทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลกทีเดียว โดยอันดับ 1 ยังคงเป็นสหรัฐฯ แต่อันดับ 2 คือญี่ปุ่นนั้นตกลงไปเป็นอันดับ 3 ด้านการทหาร จีนก็มีการพัฒนาขีดความสามารถเพิ่มเติมเขี้ยวเล็บในทุกด้าน โดยเฉพาะการพัฒนากองเรือ ขยายกำลังทางอากาศ และขีปนาวุธ แต่ก็ยังคงเป็นรองสหรัฐฯอยู่ดี อย่างไรก็ตามด้วยยุทธศาสตร์ความคิดริเริ่ม หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีน และด้วยกำลังหนุนทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งทำให้จีนขยายอิทธิพลออกไปทั่วโลก และมีพันธมิตรมากขึ้น ในขณะที่สหรัฐฯนั้นพลังอำนาจของชาติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการทหารเริ่มถดถอยลงมาก ยิ่งมาถึงยุคประธานาธิบดีทรัมป์ การใช้นโยบายอเมริกันต้องมาก่อน ทำให้มีปัญหากับมิตรประเทศทั้งหลาย ในขณะที่สถานะทางเศรษฐกิจก็เสื่อมโทรมลง โดยเฉพาะการเป็นผู้นำในการผลิต ทำให้มีปัญหาการจ้างงานภายในประเทศ สหรัฐฯจึงมีรายได้หลักในการขายเทคโนโลยีและการบริการ เช่น Face Book Google ฯลฯ สิ่งสำคัญที่ทำให้พลังอำนาจของสหรัฐฯทรุดโทรมลงก็คือนโยบายด้านการต่างประเทศ และนโยบายด้านการทหารที่เข้าไปแทรกแซงและเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ในประเทศต่างๆ ดังนั้นเมื่อมีการตัดทอนงบประมาณด้านการทหารลงโดยสภาผู้แทนราษฎร กระทรวงกลาโหม จึงต้องพยายามหางบประมาณจากภายในมาสนับสนุนการขยายกำลังทหารและอาวุธ ที่กลาโหมถือว่าถอยหลังจากปี 2018 ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่กลาโหมใช้ในการสนับสนุนการขยายกำลังก็คือ ความต้องการที่จะตอบโต้จีน และรัสเซีย หากมีการเผชิญหน้ากันในเวทีความขัดแย้งในโลก รัฐมนตรีกลาโหม มาร์ก เอสเปอร์ ได้ปราศรัยในสภาคองเกรสเพื่อขอเพิ่มงบประมาณการป้องกันประเทศ โดยให้มีอัตราการเพิ่มระหว่าง 3% - 5% ในแต่ละปี และต้องการเงินเพิ่มอีก สองพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2021 ซึ่งเป็นงบที่จะต้องถูกตัดออกในปีนี้ ความต้องการงบประมาณที่เพิ่มนี้ก็เพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ (NDS) ที่ได้ร่างเมื่อปี 2018 ทั้งนี้มีเหตุผลประกอบว่าสหรัฐฯจะต้องสนองตอบต่อการเติบโตทางทหารของจีนและรัสเซีย ด้วยการพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การสื่อสาร 5G และอาวุธเหนือเสียง แต่ในความเป็นจริงสหรัฐฯต้องการงบประมาณมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หรือมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง ในความเป็นจริงอะไรคือสิ่งจำเป็นที่สหรัฐฯควรทำในการเพิ่มพลังอำนาจของชาติ นั่นคือการสร้างและขยายกำลังทหารหรือการสร้างพลังทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาก หัวข้อหนึ่งในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ คือ การสะสมอาวุธนิวเคลียร์ เพิ่มขึ้นจากของเดิมก่อนสิ้นสุดสงครามเย็น แต่การกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ก็คือ การเริ่มสร้างสถานการณ์ไปสู่ความวิบัติของโลก ในจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ที่สหรัฐฯเพิ่มเติมขึ้นมาได้แก่อาวุธนิวเคลียร์แบบอานุภาพต่ำ (Low-yield) แต่มันคือาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีที่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปใกล้กับแนวเขตเผชิญหน้ากับรัสเซียและจีน โดยอ้างว่าเพื่อป้องปรามการใช้นิวเคลียร์ของทั้งสองประเทศ แต่ในความเป็นจริงอาวุธเหล่านี้อาจถูกนำมาใช้ได้ โดยมีขั้นตอนการควบคุมที่สั้นมาก จึงเป็นความอ่อนไหวที่จะเกิดการใช้และทำให้สงครามนิวเคลียร์ประทุ อันนำมาสู่ความวินาศของโลก อย่างไรก็ตามการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อานุภาพต่ำนี้ กลาโหมต้องการงบประมาณ 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี และการเร่งสะสมอาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้นี้ ก็เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของสนธิสัญญาควบคุม (Start) ซึ่งได้หมดอายุไปเมื่อปีที่แล้ว และสหรัฐฯก็ประวิงเวลาที่จะมีการเจรจากับรัสเซียต่อ หากพิจารณาในมุมมองการเมืองของสหรัฐฯ จะพบว่าประธานาธิบดีทรัมป์แวดล้อมไปด้วยที่ปรึกษาสายเหยี่ยว ด้านการทหาร และทรัมป์เองก็พึงพอใจที่จะเพิ่มงบทางด้านนี้ ด้วยความเชื่อว่าจะนำสหรัฐฯให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Amerca Great Again) โดยเฉพาะการพัฒนากองเรือ 355 ลำ ที่ทรัมป์ใช้ในการหาเสียงเมื่อปี ค.ศ.2016 ในขณะที่ทรัมป์ตั้งเป้าทางทหารไปที่รัสเซียและจีนตามที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารที่มิได้อยู่ในทีมทรัมป์มองว่า จีนและรัสเซียมิใช่ภัยคุกคามทางทหารที่แท้จริง แต่ภัยคุกคามของสหรัฐฯในขณะนี้คือภัยทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯกำลังจะเสียสถานะการเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในอีกไม่กี่ปีนี้ การถอยร่นของสหรัฐฯจากการถอนตัวออกจากข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิก (TPP) และพยายามจัดตั้งกลุ่มอินโด-แปซิฟิก เพื่อปิดกั้นการเติบโตของจีน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และไม่อาจหยุด BRI ของจีนได้ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจึงมองว่า การเพิ่มงบประมาณด้านการทหารของทรัมป์นั้น เป้าหมายที่แท้จริง คือการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนอุตสาหกรรมทหาร และเพื่อให้ดูสมเหตุสมผลก็ต้องมีแพะคอยรับบาป นั่นคือจีน และรัสเซีย แท้ที่จริงทรัมป์ต้องการเงินสนับสนุนในการแคมเปญเพื่อการเลือกตั้งในคราวหน้า และเงินสนับสนุนก้อนใหญ่ก็จะมาจากกลุ่มทุนอุตสาหกรรมทหารนี่เอง ซึ่งถ้าการขอเพิ่มงบกลาโหมได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา ทรัมป์ก็จะมีเงินสนับสนุนก้อนโตในการเลือกตั้งปี 2020 และมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี นอกเหนือจากวีรกรรมอื่นๆของทรัมป์ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจพวกผิวขาวที่คลั่งความเชื่อว่าตนเองเหนือกว่ามนุษย์ผิวสีอื่น โดยเฉพาะพวกที่มีการศึกษาไม่มาก และอาศัยอยู่ตามส่วนในของประเทศและงบนี้จะถูกนำไปใช้ในสนามเลือกตั้งในรัฐโอไฮโอ เพนซิลวาเนีย เวอร์จิเนีย และวิสคอนซิน ซึ่งเมื่อรวมกับคะแนนเดิมจากรัฐอื่นๆ จะทำให้ทรัมป์ครองความเหนือกว่าทันที แน่นอนนโยบายขยายกำลังทหารและบทบาทความก้าวร้าวของทรัมป์เป็นที่ถูกใจ พวกฝ่ายขวาสุดโต่งอย่างมาก รวมกับการสนับสนุนของพวกอนุรักษ์นิยมรีพับลิกัน ทำให้คำขวัญอเมริกาต้องมาก่อน และอเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งดังกึกก้อง กลับมาดูประเทศไทยในภาวะวิกฤติอย่างนี้ น่าจะมีการทบทวนปรับปรุงงบกลาโหมอย่างยิ่ง เพื่อโยกงบไปสู้กับโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เพราะศัตรูที่แท้จริงของเราไม่ใช่ภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้านเลย แต่เป็นภัยทางเศรษฐกิจ ที่สร้างความทุกข์ยากให้แก่ชนชั้นกลางและชาวรากหญ้า และภัยคุกคามจากโรคระบาดโควิด-19