“สธ.”เผยพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 122 ราย ยอดสะสมรวม 721 ราย ระบุตัวเลขผู้ป่วยในต่างจังหวัดพุ่ง หวั่นคนไทยไร้วินัยเดินตามรอยอิตาลีป่วยทั้งประเทศ “ผู้ว่าฯกทม.”ออก7มาตรการ ขอความร่วมมือ “กักตัวอยู่บ้าน-งดเดินทางออกนอกกรุงเทพฯ-ทำความสะอาดจุดเสี่ยง-เลี่ยงเดินทางในพื้นที่แออัด” ด้าน“มหาดไทย”ฮึ่ม! ใครไม่กักตัวมีโทษทั้งจำ-ปรับ “เทวัญ” รับรัฐบาลห้ามคนกลับภูมิลำเนาไม่ได้ ขณะที่“ทำเนียบเบอร์ลิน”ระส่ำ “นายกฯหญิงแมร์เคิล” กักตัวเอง 14 วัน หลังหมอประจำตัวติดเชื้อ ส่วนสถานการณ์ไวรัสมรณะยังอาละวาดไม่หยุดลุกลาม 192 ประเทศ จาก 193 ประเทศทั่วโลก เมื่อวันที่ 23มี.ค.63 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆศกกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้พบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ 122 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มสัมผัสผู้ป่วยหรือสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 20 ราย กลุ่มสัมผัสผู้ป่วยรายงานมาแล้ว 16 ราย 2.ผู้ป่วยรายใหม่ 10 รายและ 3.กลุ่ม อยู่ระหว่างรอประวัติสอบสวนโรค 92 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 721 ราย กลับบ้านแล้ว 52 ราย เสียชีวิต 1 ราย ยังรักษาตัวใน รพ. 668 ราย โดยมีผู้ป่วยอาการหนัก 7 ราย สำหรับแนวโน้มผู้ป่วยรายใหม่ พบว่า ในพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น จากการย้ายถิ่นฐานกลับไปก่อนและหลังประกาศปิดสถานบริการ ห้างร้านในกทม.และปริมณฑล ทั้งนี้ขอให้ทุกคนที่กลับต่างจังหวัดไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ และให้กักตัวเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด 14 วัน และไม่ใกล้ชิดคนอื่นโดยการเว้นระยะ 1-2 เมตร “ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาหากประเทศใดมีผู้ป่วยเกินหลัก 1,000 แล้วจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนี้ไทยยังอยู่ที่ 721 ราย หมายความว่าไทยยังอยู่ในช่วงเวลาทอง และเป็นทางสองแพร่ง หากไม่ มีวินัยเคร่งครัดในการปฏิบัติตน ออกไปนอกบ้าน ผู้ป่วยก็จะทะลุหลักพันเหมือนยุโรป และมีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่เรายังอยู่ในจุดที่เลือกได้ ซึ่ง ขึ้นอยู่ในมือของประชาชนเท่านั้น ว่าจะปฏิบัติตามมาตรการ ที่รัฐออกมาหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการปฏิบัติตาม ทางภาครัฐอาจต้องมีการล็อคดาวน์” ด้าน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ประกาศออก 7 มาตรการเพิ่มเติม ในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย 1.ขอความร่วมมือ ไม่เดินทางออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯ2. ขอความร่วมมือให้อยู่แต่ในที่พักอาศัยและหมั่นทำความสะอาดร่างกาย ที่พัก จุดเสี่ยง จุดสัมผัสต่างๆ 3.ขอให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนทุกแห่งจัดทำมาตรการป้องกันโควิด-19 รวมถึงให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างกัน 1-2 เมตรอย่างเคร่งครัดโดยทันที 4.ขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางไปสนามมวย สถานบันเทิงหรือสถานที่ที่พบผู้ติดเชื้อ พร้อมผู้ใกล้ชิดที่สัมผัสผู้ติดเชื้อ ให้กักตัวในที่พัก หากมีอาการให้รีบไปหาหมอทันที 5.หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากและแออัดและให้เว้นระยะห่างกัน 1-2 เมตร 6.ขอให้ทุกหน่วยงานงดจัดกิจกรรม ที่มีการรวมตัวของคนเป็นจำนวนมาก 7.ขอให้หน่วยงานที่ให้บริการขนส่งมวลชนทุกแห่งลดความแออัดของผู้โดยสาร โดยขอให้ดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ของกรุงเทพฯอย่างเคร่งครัด ที่ศูนย์ข้อมูล โควิด-19 ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทำเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐ มนตรีประจำสำนักนายกฯ แถลงภายหลังการประชุมถึงกรณี กรุงงเทพฯออกประกาศปิดสถานที่ต่างๆ ทำให้ประชา ชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมากว่า รัฐบาลไม่สามารถห้ามได้ แต่รัฐบาลมีมาตรการรองรับ โดยคณะกรรม การโรคติดต่อแห่งชาติ มีหนังสือไปยังผู้ว่าฯให้ทำแผนระดับอำเภอ หมู่บ้าน ตำบลโดยการแยกสังเกตอาการ 14 วัน ด้าน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนไม่ได้ออกครั้งเดียวจบ โดยที่ครม.อนุมัติครั้งก่อนเป็นครั้งที่ 1 ส่วนครั้งที่ 2 จะมีการเสนอในที่ประชุม ครม.วันที่ 24 มี.ค.นี้ และจะมีครั้งที่ 3 และต่อเนื่องไป ซึ่งนอกจากมาตรการเยียวยาแล้ว นายกฯ ได้กำชับทุกหน่วยงานเตรียมแผนฟื้นฟู เมื่อสถานการณ์ใกล้เคียงปกติ จะมีมาตรการออกมาเป็นระลอกเพื่อดูแลทุกกลุ่ม ให้ครอบคลุมทุกจังหวัด ขณะที่ นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ต่อสู้กับโรคระบาดมา 20 ปี ครั้งนี้เป็นครั้งที่โรคระบาดรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา จึงอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจเราถึงจะสามารถบรรเทาได้ ตอนนี้ไม่มีทางกำจัดออกไปแล้ว เพราะได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก วิธีบรรเทาคือทำตามมาตรการที่ออกมา ส่วนคำถามที่ว่าโรคโควิด-19 จะแพร่เชื้อทางอากาศได้หรือไม่นั้น ละอองขนาดใหญ่ที่ออกจากผู้ติดเชื้อจะกระจาย 1-2 เมตร แต่มีละอองขนาดเล็กที่ไปไกลถึง 10 เมตร จึงมีความเป็นไปได้ที่จะกระจายทางอากาศ แต่ไม่มาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น ผู้ที่ไอแรงมาก มีอาการหอบจะแนะนำให้ใช้หน้ากาก N95 แต่ละอองขนาดใหญ่นั้น ใช้หน้ากากอนามัยปกติ เว้นระยะห่างทางสังคมจะช่วยได้ นอกจากนี้ ขอให้คำแนะนำประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา อยากให้ทยอยกลับ อย่าเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่มาก เพราะโอกาสแพร่เชื้อค่อนข้างสูง เมื่อไปถึงบ้านควรล้างมือเป็นอันดับแรก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่หน้ากาก แล้วค่อยมาทักทายครอบครัว รวมทั้งควรกักตัวเอง 14 วันอย่างเคร่งครัด ต้องระวังตัวเองไม่ให้ไปแพร่เชื้อให้คนอื่น เมื่อถามว่า นอกจากอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ จะมีมาตรการเพิ่มอะไรจากนี้หรือไม่ เพราะประชาชนยังเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา นพ.ทวี กล่าวว่า การไม่ให้คนเคลื่อนย้ายคือมาตรการที่ดีที่สุด แต่บางประเทศบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ใหลไป ถ้าเป็นเช่นนั้นมีการประเมินว่า ประเทศอังกฤษจะมีผู้เสียชีวิตถึง 5 แสนคน สหรัฐอเมริกา 2 ล้านคน มาตรการที่ 2 คือ ให้บรรเทา ชะลอ การแพร่ระบาด ซึ่งไทยกำลังใช้วิธีนี้อยู่ และมาตรการที่ 3 ไม่ให้ไปไหนเลย ปิดหมดทุกอย่าง จำกัด 95% ซึ่งต้องใช้เวลา 5 เดือน เอาหรือไม่ครับ ไม่ให้ไปไหนเลย วันนี้ไทยใช้มาตรการที่ 2 โดยประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ใช้วิธีนี้อยู่ ด้าน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้วางกรอบให้มีทีมค้นหาและเฝ้าระวังระดับตำบล สำหรับผู้ที่เดินทางกลับมาจาก กทม. โดยมีกำนัน แพทย์ผู้ช่วย คณะกรรมการหมู่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลระดับตำบลกระจายไปทุกหมู่บ้าน เพื่อจัดทำข้อมูลคนที่เดินทางกลับ รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจว่าควรแยกตัวเฝ้าสังเกตอาการ 14 วัน หากพบว่าใครมีอาการน่าสงสัย ยืนยันทุกจังหวัดมีความพร้อมที่จะรองรับพี่น้องประชาชนเดินทางกลับ อย่างไรก็ตาม หากใครไม่ดำเนินการกักตัวหรือฝ่าฝืน จะมีความผิดโทษทั้งจำทั้งปรับ สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ทำเนียบนายกรัฐมนตรีเยอรมนี แถลงว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรี จะกักตัวเองที่บ้านพักเป็นเวลา 14 วัน หลังพบว่าแพทย์ประจำตัวทีมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบให้แก่เธอเมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว มีอาการป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พร้อมกันนี้ นางแมร์เคิล ได้กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศด้วยว่า จากการที่เชื้อไวรัสฯ แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในเยอรมนี จนอยู่ในระดับที่น่าวิตก จึงขอออกมาตรการห้ามประชาชนรวมกลุ่มกันเกิน 2 คน ยกเว้นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว รายงานข่าวแจ้งว่า นางแมร์เคิล ยังได้ออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการออกข้อบังคับห้ามประชาชนรับอาหารในร้านอาหาร โดยให้ซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น ส่วนกิจกรรมและร้านที่ให้บริการอื่นๆ เช่น ร้านเสริมสวย ร้านนวด และร้านสัก ต้องปิดบริการ พร้อมทั้งออกข้อแนะนำด้วยว่า ขอให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม โดยให้อยู่ห่างกันไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ขณะเดียวกัน ทางด้านสถานการณ์แพร่ระบาดในภูมิภาคอเมริกาใต้ ล่าสุด ทางการบราซิลและอุรุกวัย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ ได้บรรลุข้อตกลงว่า ให้ปิดพรมแดนระหว่างประเทศทั้งสองร่วมกันเป็นเวลา 30 วัน โดยมีข้อยกเว้นว่า การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนยังคงสามารถทำได้ ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดทั่วโลก ล่าสุด ได้ลุกลามไปแล้ว 192 ประเทศ จากจำนวนประเทศทั้งหมด 193 ทั่วโลก ส่งผลให้มีจำนวนสะสมของผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 339,026 ราย จำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 14,698 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสมอยู่ที่ 99,014 ราย