“ประวิตร” ยันเคลียร์รอยร้าวพปชร.แล้ว ไม่ห่วง ส.ส. แคปไลน์โจมตีการเมือง บอกมีแค่คนสองคน “สิระ” รับเคลียร์แล้ว แต่ไม่จบ อัด “ไผ่” ทำเพื่อประชาชนบ้าง ลั่นหากตัวเองเป็น “ธรรมนัส” ลาออกไปแล้ว รับ “บิ๊กป้อม”โทรมาหาให้ทานข้าวมากๆ ส่วน“ไผ่”ยันไม่ขอเคลียร์“สิระ” เชื่อมีกระบวนการเมืองจ้องเลื่อยขาเก้าอี้“ธรรม นัส” ขณะที่ “ธรรมนัส” ยันไร้เอี่ยวกักตุนหน้ากาก ระบุยังไม่ได้ตุยกับนายกฯปมปรับครม.ส่วน“วิโรจน์”ชี้ 55 ส.ส. อดีตพรรคอนาคตใหม่ สมัครสมาชิก “พรรคก้าวไกล” ครบทุกคน เชื่อยังรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง “จุรินทร์” รับเป็นผู้ใหญ่พอ ขอให้เกียรติ “บิ๊กตู่” ยันยังไม่ได้รับสัญญาณปรับครม. “ปปช.”ฟันอาญา “อดีตบิ๊กกพร.”แก้แผนผังเหมืองทองคำชาตรี สร้างปัฐหาสุขภาพให้ปชช.-เอื้อประโยชน์ บ.อัคราฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 11มี.ค.63 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรค ระหว่าง นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาปกป้อง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและ สหกรณ์ กรณีการกักตุนหน้ากากอนามัยว่า ได้เคลียร์เรียบร้อยไม่มีอะไร เมื่อถามว่า ได้กำชับถึงการกระทำของ ส.ส.ในการแคปแชทไลน์ เพื่อโจมตีทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “โหย มีแค่คน สองคน” ด้าน นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “คนในครอบครัวก็คุยกันว่ามีเหตุผลอะไร เมื่อคืนได้มีโอกาสทานข้าวในกลุ่มฝ่ายบู๊ที่ทำงานช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่มีการส่งสัญญาณอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงนัดกันล่วงหน้า วันนี้ผมใช้สิทธิความเป็นประชาชนและส.ส.ที่ให้ผมมาพูดเรื่องนี้ และอยู่ที่การตัดสินใจของท่านเอง ส่วนส.ส.ในพรรคก็ลงพื้นที่กันหมด ในไลน์กลุ่มไม่มีใครพูดถึง แต่ถ้าเป็นผม การลาออกเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ผมออก ถ้าสมมติว่าพิสูจน์แล้วขาวสะอาด ผู้ใหญ่อาจจะพิจารณาให้กลับมาเหมือนเดิมคนในบ้านเราจะเปรียบเทียบก็เกินไป ที่ไปกัดชาวบ้าน เจ้าของต้องรับผิดชอบใช่หรือไม่ คนอยู่ในบ้าน ไปกัดคนอื่น ก็ต้องรับผิดชอบ อะไรที่อยู่ในบ้านและสังกัดเรา ก็ต้องรับผิดชอบ จะมาบอกว่าไม่รู้จักนั้นมันหนักกว่าอีก โอเคนะ อย่าไปให้ดุไปกว่านี้เดี๋ยวจะไม่สุภาพ ผมอยากถามกลับไปยังคุณไผ่ว่าวิกฤตของประชาชน คุณเป็นผู้แทนฯเหมือนผม คุณก็รับเงินเดือนเหมือนผม คุณทำอะไรให้กับประชาชนบ้าง แค่นี้คุณก็ทำให้ประเทศแล้ว คุณเป็นผู้แทนฯเหมือนผม ไม่มีอะไรครับ เคลียร์กันแล้ว ต่างคนต่างลงพื้นที่” นอกจากนี้ นายสิระ กล่าวยอมรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้โทรศัพท์มาหาบอกให้ทานข้าวมากๆ ส่วน นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เหตุผลที่ตนต้องแสดงความเห็นดังกล่าวไม่ใช่เพื่อปกป้องร.อ.ธรรมนัส แต่เพราะต้องการปกป้องพรรค ไม่ให้มีภาพข้ดแย้งปรากฎออกไปภายนอก อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวตนไม่ติดใจ และไม่มีประเด็นใดต้องเคลียร์กับนายสิระอีก แต่จากการติดตามการให้สัมภาษณ์ของนายสิระ ที่ระบุว่าตนทำอะไรเพื่อประชาชนระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิค-19 บ้างนั้น ทำให้ตนรู้สึกไม่ดี เนื่องจากการทำงานของตนฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก อย่างเป็นระบบ ของสภาฯ ได้ติดตามประเด็นหน้ากากอนามัยตลอด ดังนั้นประเด็นที่เกิดขึ้นตนมองว่า ส.ส.ควรรู้หน้าที่ เรื่องไหนควรนำเข้าสภาฯ ให้ตรวจสอบ ไม่ใช่ออกไปจับหรือทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของสภาฯ เสียหาย “ที่บอกว่าพี่ธรรมนัสมีคนใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับกระบวนการกักตุนหน้ากาก ต้องให้กระบวนการของตำรวจตรวจสอบ อย่ากล่าวหากันลอยๆ หากพี่สิระ มีหลักฐานว่าคนใกล้ชิดส.ส.เข้าสภาฯ ต้องนำมาเปิดเผย แต่กรณีที่เกิดขึ้นเรื่องกักตุนสินค้า ทราบว่า นายศรสุวีร์ ภู่รวีร์รัศวัชรี ผู้ประกอบธุรกิจขายหน้ากากอนามัย หรือนายบอยนั้น ถูกแจ้งข้อหาความผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะในหลักการที่เขาบอกว่ามีหน้ากาก 200 ล้านชิ้น เป็นไปไม่ได้ เพราะ 11 โรงงานในประเทศสามารถผิดได้ 36 ล้านชิ้นต่อเดือนเท่านั้น ดังนั้นหากจะกักตุนปริมาณมากจริง ต้องทำล่วงหน้าก่อนการระบาดของไวรัส ถึง 2 เดือน ดังนั้นการตรวจสอบเรื่องนี้ขอให้รอตำรวจ” นายไผ่ กล่าว เมื่อถามย้ำว่า กรณีเปิดประเด็นของนายสิระให้ร.อ.ธรรมนัสลาออก เพราะมีกระบวนการเลื่อยขาเก้าอี้รัฐ มนตรีหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า “ต้องรอดูว่าจบอย่างไร ประเด็นเลื่อยขาเก้าอี้นั้น ไม่ทราบว่าเกิดจากคนในพรรคหรือไม่ แต่อาจเกี่ยวกับการเมืองก็ได้” ด้าน ร.อ.ธรรมมนัส กล่าวถึงกระแสข่าวเป็นจุดออ่นของรัฐบาล ทำให้เกิดการปรับ ครม. ในชุดปัจจุบัน ว่า ผู้ใหญ่ของรัฐบาลหรือแม้แต่นายกฯ ก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง ทั้งเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ และภัยแล้ง เมื่อถามว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องมีผู้ใหญ่ในรัฐบาลโทรศัพท์มาสอบถามอะไรบ้างหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมทำงาน ยืนยันว่าผมทำงาน” ขณะที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีสมาชิกและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้เปิดประชุมรับฟังข้อเสนอว่าจะถอนตัว หรือร่วมรัฐบาลต่อไป ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม มีท่าทีชัดเจนและมีเจตนาที่แท้จริงว่า คืออะไร คงไม่ต้องย้อนกลับไปพูดตรงนั้น และหากจะปรับคณะรัฐมนตรีในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับและพรรคพลังประชารัฐที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องฟังนายกฯ กับพรรคแกนนำรัฐบาลก่อน “วันนี้ผมยังไม่ได้รับสัญญาณปรับครม.ถ้าจะมีคือมาจากนายกฯและพรรคพปชร.และการพูดคุยของนายกฯ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ไม่ใช่เรื่องเคลียร์ใจ ผมเป็นผู้ใหญ่พอ และคิดว่า ที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ คำตอบมีความสมบูรณ์ อยู่ในตัวแล้ว จึงต้องให้เกียรติท่าน ผมไม่มีอะไรเพิ่มเติม” ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกกลุ่มส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ กลุ่มส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่จำนวน 55 คน จะเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลที่ศูนย์ประสานงานฝั่งธนบุรี ซึ่งมั่นใจว่าส.ส.ทั้ง 55 คนจะเข้ามาสมัครสมาชิกพรรคครบทุกคน เพราะเชื่อว่า ทุกคนยังรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง และหลังจากนั้นจะประชุมวิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้า และกรรมการบริหาร พรรคอย่างเป็นทาง การ พร้อมกับแก้ไขข้อบังคับพรรค เพื่อให้การทำงานของพรรคมีโครงสร้างและการดำเนินงานที่ชัดเจน “ตอนนี้ทุกคนเหมือนเป็นส.ส.ไร้สังกัดแบบคนที่เคยเป็นซามูไรและโรนิน และคิดว่าทุกคนจะยังร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนต่อไป” วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายสมเกียรติ ภู่ธงชัยฤทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำ แหน่งอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.)กับพวกรวม 6 ราย กรณีอนุญาตให้บริษัท อัครา ไมนิ่งจำกัด เปลี่ยนแปลงผังโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือโดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชนดังกล่าว เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงขั้นตอนการตรวจสอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (สผ.)ในการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นอาจสร้างความเสียหายให้เกิดแก่สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างปัญหาทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างร้ายแรงได้ และเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบราชการ จึงมีมติว่า การกระทำของนายสมเกียรติ และพวก มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 85 (1) ส่วนการกระทำของบริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด หรือบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) และนายปกรณ์ สุขุม กรรมการผู้จัดการบริษัท มีมูลความผิดทางอาญา ฐานสนับสนุน ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ส่วนกรณีนายกำภู คุณารักษ์ วิศวกรชำนาญการ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป