“กทท.”เดินหน้างานก่อสร้างโครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3(ท่าเทียบเรือ F)หนุนอีอีซี ยกระดับประเทศเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า กทท.เดินหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ยกระดับประเทศเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคเพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับการขยายตัวของตู้สินค้า ส่งเสริมการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเตรียมก่อสร้างในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรกภายใต้กรอบการร่วมทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนลงทุนออกแบบ ก่อสร้าง ให้บริการ และซ่อมบำรุงรักษา โดยเอกชนรายเดียว เพื่อให้ท่าเทียบเรือ F แล้วเสร็จทันภายในปี 66 โดยมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกเอกชนที่มีคุณสมบัติและมีความสามารถในการบริหารจัดการท่าเทียบเรือที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีแผนการดำเนินการบริหารจัดการท่าเทียบเรือที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศโดยรวม สำหรับการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 คณะกรรมการ กทท.มีมติอนุมัติให้จ้างบริษัทเอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด และบริษัทโชติจินดา คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างโครงการพัฒนา ทลฉ.ระยะที่ 3 (ส่วนที่ 1-4) โดยวิธีคัดเลือก และ ทลฉ.ได้ประกาศผู้ชนะการเสนอราคาเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 25 ก.พ.63 ขณะที่งานก่อสร้าง จะแบ่งงานออกเป็น 4 ส่วนประกอบด้วย ส่วนที่ 1 งานก่อสร้างทางทะเล ส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนที่ 4 งานจัดหา ประกอบและติดตั้งเครื่องจักรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมระยะเวลาในการก่อสร้างไม่น้อยกว่า 52 เดือน ทั้งนี้ กทท.เริ่มดำเนินการประกวดราคาจ้างงานในส่วนที่ 1 งานก่อสร้างทางทะเล ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยประกาศขายเอกสารตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.-5 พ.ค.63 และกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 7 พ.ค.63 สำหรับงานก่อสร้างส่วนที่ 2(งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือฯ)อยู่ระหว่างการขอความเห็นชอบประกาศร่างขอบเขตของงาน (TOR) ครั้งที่ 2 โดย ทลฉ.เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 34 ปัจจุบันมีปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้าผ่านท่าเรือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีนโยบายเร่งพัฒนาโครงการ ทลฉ.ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้าน ทีอียู.ต่อปี เป็น 18 ล้าน ทีอียู.ต่อปี โดยจะดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำหรับรองรับเรือขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ(SRTO) เพิ่มสัดส่วนการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟจาก 7% เป็น 30% นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานและการบริหารจัดการของ ทลฉ.ระยะที่ 3 ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)ในการเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้มีความสามารถในการรองรับการขนถ่ายด้วยเครื่องมือขนส่งสินค้าประเภทตู้สินค้าที่ทันสมัย ขณะเดียวกันได้ให้ความสำคัญกับสภาพสิ่งแวดล้อม (Green Port) เพื่อยกระดับประเทศเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค พัฒนาระบบการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้ได้มาตรฐาน โดยใช้ระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ (Automation) มาสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงการเป็นประตูการค้า(Gateway) สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศ ซึ่งจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในกลางปี 63