ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล การทำนาคือความสุขของคนไทย ชีวิตชาวนาแม้จะเป็นชีวิตที่ยากลำบาก แต่ชาวนาไทยก็ไม่มีวันที่จะเลิกทำนา เพราะว่าการทำนาคือความสุขที่จะขาดเสียไม่ได้ของพวกเขา เป็นความสุขที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเพาะกล้าจากเมล็ดข้าวเปลือก จนกระทั่งเอาข้าวเปลือกไปสีออกมาเป็นข้าวสาร หลังสงกรานต์ปู่กับลุงและอาๆ ผู้ชายจะพากันออกไปนาแต่เช้า ระดมควายและไถไป “ไถกลบ” คือไถเอาหญ้าและกอข้าวเก่าๆ พลิกกลบลงไปในดิน เพื่อเป็นการทำลายวัชพืชอย่างหนึ่ง และให้วัชพืชเหล่านั้นเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ยแก่ต้นข้าวในฤดูกาลถัดไป แต่ที่สนุกที่สุดสำหรับเด็กๆ ก็คือ ได้ไล่จับจิ้งหรีดสีดำสีทองแดงที่เติบโตมาใต้ก้อนดิน ถ้าได้ตัวผู้ตัวโตๆ สีงามๆ ก็จะเอามา “กัดกัน” ด้วยการเอาหญ้าแพรกเขี่ยที่หนวด ให้จิ้งหรีดเกิดความโกรธหงุดหงิด มันก็จะกัดกันอย่างบ้าคลั่ง แต่ผมไม่ชอบที่จะทำอย่างนั้น ส่วนผู้ใหญ่ก็จะให้พวกเด็กๆ จับใส่กระป๋องมาเยอะๆ แล้วมาคั่วใส่เกลือ เป็นอาหารพิเศษที่แสนอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นเดียวกันกับแมงกุดจี่ ที่ได้มาจากใต้มูลควาย เมื่อคั่วเกลือแล้วก็จะมีรสชาติไม่แตกต่างกัน ปลายๆ เดือนพฤษภาคม ถ้าฝนยังไม่ตกลงมา ชาวบ้านก็จะพากัน “แห่นางแมวขอฝน” ที่ดูเหมือนจะเป็นความสนุกสนานของพวกขี้เมาเสียมากกว่า และให้สงสารนางแมวที่เปียกปอนไปตลอดระหว่างทางในหมู่บ้าน เพราะต้องถูกเอาน้ำสาดบ้านละเล็กละน้อย ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเย็น แต่กระนั้นฝนก็ยังไม่ตก ระหว่างนั้นก็มีการเตรียมงานประเพณีบุญบั้งไฟ ผมจำได้ว่าในหมู่บ้านจะแบ่งเป็น 4 คุ้ม ตามกลุ่มบ้านที่อยู่ตามทิศทั้งสี่นั้น แต่ละคุ้มก็จะทำบั้งไฟขนาดใหญ่ ที่ส่วนหัวยาวสัก 1 วา ส่วนหางยาวประมาณ 4-5 วา ที่ส่วนหัวเป็นส่วนที่ใส่ดินขับ ทำจากกระบอกไม้ไผ่ที่คัดพิเศษ พันด้วยเชือกปออย่างแน่นหนาแข็งแรงเพื่อป้องกันการแตกระเบิดออก แล้วตกแต่งหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “เอ้” ด้วยกระบอกไม้ไผ่ขนาดย่อม ลดหลั่นกันให้ดูลู่ลมและได้สมดุลกับหางที่ทำจากไม้ไผ่เหยียดตรง ไม่โค้งคดบิดงอ ก่อนนำมาประกอบก็ต้องลนไฟอยู่หลายชั่วโมงเพื่อให้หยุดการหดตัวและเพิ่มความแข็งแรง จากนั้นก็ใช้กระดาษว่าวและกระดาษเงินกระดาษทองสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยที่ส่วนหัวของบั้งไฟจะต้องเป็นรูปหัวพญานาค พร้อมกับทำกลไกชักปากพญานาคให้ขยับได้ ทำคานรองรับให้มั่นคงเพื่อให้ผู้คนมาแบกแหนแห่ไป กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลากว่าสิบวัน แต่ก็เป็นไปด้วยความร่วมมือร่วมใจ สร้างบรรยากาศของความรักความสามัคคีเป็นเช่นนั้นมาทุกปี ผมจะไม่ขอเล่าถึงบรรยากาศในวันที่มีการแข่งขันจุดบั้งไฟ เพราะรู้สึกน่ากลัวมากกว่าจะตื่นเต้นสนุกสนาน แต่ผมก็ไปเฝ้าดูงานประเพณีนี้อยู่ทุกปี ทั้งสี่ปีที่อยู่บ้านหนองม่วง และก็น่าแปลกมากที่ภายหลังการจุดบั้งไฟเพียงไม่กี่วัน ฝนก็ตกลงมาเหมือนมีมนต์วิเศษ ชาวบ้านก็จะมีสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ฝนต้นฤดูนั้นมักจะมาพร้อมกับลมที่กระโชกแรง หลายครั้งมีลูกเห็บตก ผมชอบเก็บลูกเห็บมาอมเล่น มันเย็นชื่นใจนัก แต่ย่าจันทร์บอกห้ามเสมอ กลัวจะมีเชื้อโรค จากนั้นในตอนค่ำคืนก็จะมีเสียงกบเขียดและอึ่งอ่างร้องระงมออกผสมพันธุ์ หลังจากที่ฝังกลบตัวเองอยู่ใต้ดินมานานหลายเดือนตั้งแต่ปลายฤดูหนาวจนตลอดฤดูร้อนนั้น เป็นอีกโอกาสหนึ่งของ “นักล่า” ซึ่งก็คือชาวบ้านที่จะนำตะเกียงใส่ที่บังลมทำด้วยปี๊บเจาะช่อง พร้อมตะข้องและมีดออกไปตามเสียงที่ร้องระงมอยู่ตามทุ่งนาริมหมู่บ้านนั้น เพียงชั่วไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมาพร้อมด้วยกบเขียดและอึ่งอ่างเต็มข้อง ชาวบ้านจะทำอย่างนี้ทุกวันที่ฝนตก แต่หลายวันเข้าสัตว์ที่น่าเวทนาพวกนี้ก็จะเงียบเสียง ไม่ใช่เพราะถูกล่าไปหมดแล้ว แต่เพราะมันได้แพร่พันธุ์อย่างเรียบร้อย ซึ่งในตอนเช้าก็จะเห็นไข่ลอยเป็นแพ อีกสองสามวันก็แตกออกมาเป็นลูกอ๊อด ที่คนอีสานเรียกว่า “ฮวก” ซึ่งถือกันว่าเป็น “สุดยอดอาหารหน้าฝน” ที่นำไปใส่ต้มแกงหมกอ่อมป่นแจ่วอะไรก็อร่อยสุดๆ อนึ่งในช่วงต้นฤดูฝนก็ยังมีอาหารอีกอย่างหนึ่งที่ “หลง” เข้ามาเป็นอาหารให้แก่ชาวบ้านเป็นประจำ นั่นก็คือ “แมงอีนูน” (แมงจินูนก็เรียก) โดยมันจะมากินยอดอ่อนของต้นไม้ที่มีรสฝาดหรือเปรี้ยว เช่น มะขาม และมะกอกป่า เป็นจำนวนนับหมื่นๆ ตัวในแต่ละต้นนั้น ซึ่งชาวบ้านก็จะจุดตะเกียงไปล่อให้มันบินเข้ามาเล่นไฟที่ใต้ต้นไม้ แล้วก็ตกไปในกระป๋องน้ำที่ชาวบ้านนำมาวางไว้ตรงนั้น ไม่ถึงชั่วโมงก็จะได้แมงอีนูนลอยเต็มผิวน้ำ นำไปคั่วเกลือ กินได้ทั้งกินเล่นและกินเป็นกับข้าว รสชาติหอมมันกรุบกรอบอย่าบอกใคร พอน้ำเจิ่งนาได้สักสองสามวัน ปู่บอกว่าดินจะนุ่มและไถคราดง่าย ยามนี้ก็จะเป็นเรื่องของการ “ไถดะ” คือไถให้ดินเละพร้อมคลุกเคล้าวัชพืชที่เน่าเปื่อยให้ผสมกับเนื้อดิน แล้วเว้นที่นาบางแปลงที่อยู่ใกล้บ่อหรือสระที่ขุดไว้ ขนาดสัก 1 ไร่ ไถแปร(คือไถย้อนทางจากที่ไถดะไว้)ให้ดินละเอียด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นคราดมาผูกล่ามแทนไถให้ควายคราดเอากิ่งไม้และวัชพืชที่ไม่เน่าเปื่อยออกไป ปรับผิวดินให้เรียบเสมอกัน เตรียมไว้สำหรับหว่านเมล็ดข้าวเปลือกที่บ่มแช่น้ำไว้สัก 3-4 วันให้รากงอกออกมาเล็กน้อย นำมาเดินหว่านให้กระจายเสมอกัน เรียกว่าการเพาะกล้า แล้วคอยวิดน้ำมาหล่อเลี้ยงแปลงกล้านี้ (แต่ถ้าฝนตกก็งด หรือถ้าน้ำมากไปก็ต้องระบายออก ไม่ให้น้ำท่วมต้นกล้า) เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ประมาณสัก 15 วัน ต้นกล้าก็จะชูลำต้นขึ้นแน่นขนัดแปลงเพาะ สูงราวคืบเศษ ก็ถึงวันที่จะต้องมาถอนกล้า ซึ่งเป็นงานที่ทุกคนแม้แต่เด็ก 7-8 ขวบอย่างผมก็พอทำได้ โดยใช้นิ้วขยุ้มไปที่โคนต้นกล้าให้ได้สักขนาดพอกำมือ รวบมือให้แน่นพอสมควรแล้วดึงขึ้นมาตรงๆ นำกล้าที่ถอนขึ้นมาแกว่งส่วนรากลงไปในน้ำ นำมาตบที่ฝ่าเท้าที่ตะแคงรอไว้เบาๆ ให้เศษดินที่ปลายรากกระเด็นออกไป แล้วทำแบบเดิมไปจนได้ต้นกล้าสักสองมือรวบ จึงจะใช้ตอกไม้ไผ่มัดเป็นพวงๆ ปู่จะใช้มีดอีโต้คมๆ ตัดที่ปลายใบให้เรียบเป็นแนวเหมือนตัดผมนักเรียน แช่น้ำไว้รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก็จะมามัดพวงต้นกล้านั้นให้เป็นพวงใหญ่ เพื่อใช้ไม้คานมาหาบไปที่แปลงนาที่ไถคราดไว้พร้อม ทำการ “ดำนา” ต่อไป การทำนานั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง เพราะได้เฝ้าเห็นการเติบโตของต้นกล้าเหล่านี้นี่เอง