จากสถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปด้วยไวรัสโควิด-19 จึงทำให้ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ได้ส่งผลให้รายได้และรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักปี 2563 น่าจะติดลบ จากเดิมเคยตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถึงกระนั้น นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้สะท้อนแผนการตลาดที่จะนำธุรกิจฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างน่าสนใจ เชื่อมั่นศักยภาพการเติบโตเมืองไทย โดย นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางบริษัทได้ปรับแผนทางการตลาดในช่วงไตรมาส 2-3 ทั้งมุ่งเน้นไปลูกค้าคนไทย ยุโรป รัสเซีย ตะวันออกกลาง และอินเดีย สร้างรายได้ทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ ที่หายไป หลังประเทศในเอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีได้รับผลกระทบจากการเป็นพื้นที่เสี่ยงของโรค พร้อมจัดทำราคาขายห้องพักที่สามารถทำตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้เฝ้าสังเกตุการณ์แต่ละตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถทำตลาดได้ทันที เมื่อเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่ง บริษัทฯ ยังเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนทั้งในส่วนของการเดินทางระหว่างประเทศและการเดินทางในประเทศสำหรับการท่องเที่ยวและการทำงาน โดยเวลานี้บริษัทฯ มีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ จำนวน 17 แห่ง ประกอบด้วยโรงแรมฮ็อป อินน์ ในประเทศไทย 11 แห่ง และโรงแรม 6 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์ แบ่งออกเป็นฮอลิเดย์ อินน์และฮ็อป อินน์ เซบู ซิตี้ ที่จะเป็นโรงแรมภายใต้คอนเซ็ปคอมโบโฮเทลแห่งแรกของบริษัทฯ ในฟิลิปปินส์ และ ฮ็อป อินน์อีก 4 แห่ง ในเมืองมะนิลา ดาเวา และอิโลอิโล่ เป็นต้น “แต่ละแห่งใช้งบฯลงทุนเฉลี่ย 80-100 ล้านบาท โดยเฉพาะปีนี้วางค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ 1,400 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในไทยและฟิลิปปินส์เท่ากันที่ 50% เพื่อผลักดันให้ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า ทางบริษัทฯจะมีโรงแรมทั้งหมดกว่า 100 แห่ง เพิ่มจากสิ้นปี 2563 ที่มีประมาณ 77 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 72 แห่ง และฟิลิปปินส์ 5 แห่ง คิดเป็นห้องพักรวมกว่า 1 หมื่นห้อง” ขยายเครือข่ายกลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ ทั้งนี้ นายเพชร กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯ จะเปิดดำเนินการโรงแรมฮ็อป อินน์ 7 แห่ง ในประเทศไทย ส่งผลให้ สิ้นปี 2563 มีฮ็อป อินน์ทั้งหมด 50 แห่ง ครอบคลุม 37 จังหวัดทั่วทุกภาคในประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังเน้นการขยายเครือข่ายกลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยจะเห็นได้จากในปี 2562 ที่ผ่านมา แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะมีอัตราการเติบโตในระดับต่ำ แต่ผลการดำเนินงานของฮ็อบ อินน์ ที่เน้นกลุ่มลูกค้าในประเทศ ยังเติบโตได้ดีทั้งในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญในคุณภาพของโรงแรมที่มีการพัฒนามาตลอดตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการให้ความสำคัญต่อความต้องการของลูกค้าอย่างเสมอมา “จำนวนห้องพักเฉพาะแบรนด์ฮ็อป อินน์ ครองสัดส่วนประมาณ 14% ในรายได้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ อีกทั้งตั้งเป้าลูกค้าในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มสัดส่วนจาก 60% เป็น 80% ขณะที่ฮ็อปอินน์ในไทย หลังจากเปิดแห่งแรกเมื่อปี2557 จนสามารถเจาะลูกค้าคนไทยได้มากขึ้นจนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 สัดส่วนอยู่ที่ 20% ในปัจจุบัน นับเป็นการกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก และลดผลกระทบตลาดลูกค้าจีนที่มีสัดส่วน 12 % มากเป็นอันดับ2 ของพอร์ตลูกค้า” ทำงานควบคู่ไปกับการลดต้นทุน อีกทั้ง นายเพชร ยังกล่าวต่อว่า ทางบริษัทฯ ยังดำเนินการทำงานควบคู่ไปกับการลดต้นทุน เช่น ลดต้นทุนปฏิบัติการสอดคล้องกับอัตราเข้าพักเพื่อประหยัดการใช้พลังงานในโรงแรม ส่วนแผนการบริหารสภาพคล่อง ปัจจุบันมียอดกู้เงินธนาคารรวม 1 หมื่นล้านบาท ได้ทำเรื่องไปยังธนาคารขอผ่อนผันเลื่อนการชำระเงินกู้ทั้งส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวน 790 ล้านบาทออกไปก่อน จากภาระที่ต้องจ่ายทั้งหมด1,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยเสนอขอเลื่อนไปจ่ายในปีสุดท้ายของระยะเวลากู้แทน หลังจากรัฐบาลขอความร่วมมือจากภาคธนาคารให้ช่วยดูแลผู้ประกอบการท่องเที่ยว สำหรับโรงแรมแบรนด์อื่นๆ นอกเหนือจากฮ็อปอินน์ ซึ่งให้เชนรับบริหารโรงแรมดูแล มีทั้งแบรนด์ระดับราคาประหยัด มิดสเกล และลักชัวรี รวม 22 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักกว่า 5,343 ห้อง ครองสัดส่วนรายได้ถึง 86% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมทั้งหมด พบว่าอัตราเข้าพักเดือนมกราคมที่ผ่านมามี 80% ส่วนเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 60% ลดลงเพราะโควิด-19 ต่างจากแบรนด์ฮ็อปอินน์ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งน่าจะทำให้ตลอดทั้งปีน่าจะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 75% ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว