อนุทินเผยเตรียมลงนามประกาศฯ ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคทำงานได้โดยมีกฎหมายรองรับ ป้องกันผู้ปกปิด-มีความเสี่ยงเข้าเมือง หลังพบผู้ป่วยเพิ่ม 3 ราย เป็นครอบครัวเดียวกัน ขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางไปประเทศเสี่ยง และเฝ้าระวังอาการ อย่ากลัว-อย่าปกปิดความจริง และอย่ารังเกียจคนป่วย เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดก.สาธารณสุข และคณะผู้บริหาร แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยนายอนุทิน กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ให้บุคลากรเปลี่ยนสภาพจากเจ้าหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงาน ทำงานโดยมีกฎหมายรองรับ สามารถปฏิบัติการหลายเรื่องโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตามปกติ ข้อจำกัดหลายอย่างจะถูกยกเว้นได้ เช่น ยารักษาโรค คาดภายในบ่ายวันนี้ร่างประกาศฯ นี้จะแล้วเสร็จ ตนพร้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 วันจึงประกาศใช้ นพ.สุขุม กล่าวว่า วันนี้ได้รับรายงาน ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาฯ) พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 3 รายมาจากครอบครัวเดียวกัน รายที่ 1 เป็นชายไทยอายุ 65 ปี เดินทางไปเที่ยวฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เมื่อวันที่ 23 ก.พ.63 ด้วยอาการ ไข้ ไอ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นบวก ส่งตัวรักษาต่อสถาบันโรคทรวงอก รายที่ 2 เป็นหญิงไทยอายุ 62 ปี (เป็นภรรยา ติดเชื้อมาจากญี่ปุ่น) และรายที่ 3 เด็กชายไทยอายุ 8 ปี (เป็นหลาน) ซึ่งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยรายที่ 1 รักษาที่สถาบันบำราศนราดูร โดยขณะนี้ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงได้ทุกราย ส่วนผู้ร่วมเดินทางอยู่ระหว่างติดตามตัวมาตรวจรักษา อย่างไรก็ดี ในวันนี้มีข่าวดีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 2 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 35 ปี จากสถาบันบำราศนราดูร และชายจีนอายุ 62 ปี จากสถาบันโรคทรวงอก ซึ่งทั้ง 2 รายเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้ไทยยังอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่เกิดการระบาดในประเทศ ไม่มีผู้ป่วย Super Spreader ทั้งนี้ ได้เตรียมบังคับใช้กฎหมายหลังพบผู้ปกปิดประวัติการเดินทาง และสั่งไม่ให้ผู้มีความเสี่ยงเข้าเมือง เช่น การส่งกลับผู้เดินทาง 2 ราย ที่มาจาก Diamond princess เพื่อควบคุมการระบาด ด้วยมาตรการขั้นสูงสุด หลังพบผู้ป่วยที่กลับจากญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เข้มมาตรการคัดกรองผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง ทั้งขยายประเทศเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง และกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังได้ขยายการตรวจทางห้องปฏิบัติการไปยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 13 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางตรวจได้ที่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รมว.สธ.กล่าวว่า ขอความร่วมมือประชาชน งดเที่ยวงดเดินทางไปยังพื้นที่ระบาดของโรคต่อเนื่อง หากจำเป็นต้องไป ให้ระมัดระวังตัว หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย หากกลับมาให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตัวเอง14 วัน หากมีไข้ ไอ ให้รีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง อย่ากลัวที่จะบอกหมอว่าเดินทางมาจากประเทศเสี่ยง จะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยรักษาโรคได้รวดเร็ว ในส่วนของประชาชนอย่ารังเกียจผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพราะจะส่งผลเสียให้คนไข้ไม่ไปหาหมอ หรือไปหาหมอช้า ไม่ยอมป้องกันตนเองเพราะกลัวถูกรังเกียจจากสังคม ป้องกันการเกิด Super Spreader และติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น อย่าแชร์ข้อมูลที่หาที่มาไม่ได้ หากมีข้อสงสัยโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น สวมหน้ากากอนามัยแบบผ้าที่สะอาดเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก ผู้ป่วยและผู้ที่มีอาการ ไอ จาม ควรใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ สำหรับหน้ากากอนามัยประเภท N95 จะใช้ในเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาใกล้ชิดกับผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 16 ราย กลับบ้านแล้ว 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ป่วยในประเทศไทย รวมสะสม 40 ราย ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 25 ก.พ.63 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 1,798 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 72 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,726 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,247 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 551 ราย สำหรับสถานการณ์ทั่วโลกใน 38 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 26 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 80,427 ราย เสียชีวิต 2,712 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 77,666 ราย เสียชีวิต 2,664 ราย