รายแรกเป็นหญิงปอดอักเสบหาสาเหตุไม่ได้ แต่มีคนในครอบครัวกลับจากจีน รักษาตัวที่ราชวิถี และอีกรายชายทำงานใกล้ชิดนักท่องเที่ยวจีน อยู่บำราศนราดูร รวมยอดสะสมป่วยแล้ว 37 ขณะมีข่าวดีผู้ป่วยที่กระบี่หายดีกลับบ้านได้อีก 1 สธ.ชี้ที่พบผู้ป่วยเพิ่มเป็นผลจากขยายการเฝ้าระวัง-ขยายพื้นที่ครอบคลุมประเทศกลุ่มเสี่ยงใหม่ แนะปชช.อย่าเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง หากเลี่ยงไม่ได้ต้องป้องกันเต็มที่ ขณะกรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชฯ จับมือวิจัยสมุนไพรฟ้าทะลายโจรต้านไวรัสโควิด เมื่อวันที่ 25 ก.พ.63 นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดก.สาธารณสุข พร้อม นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม ร่วมโรคแถลงข่าวสถานการชณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 เพิ่ม อีก2 ราย โดยยืนยันจากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง ทั้งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ผลยืนยัน พบผู้ป่วยเพิ่ม 2 ราย รายที่ 1 เป็นหญิงไทยอายุ 31 ปี อาชีพแม่บ้าน ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี แพทย์ตรวจพบปอดอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ โดยแพทย์ได้ซักประวัติเพิ่มเติมพบประวัติสมาชิกในครอบครัวเดินทางกลับจากประเทศจีน สำหรับรายที่ 2 เป็นชายไทยอายุ 29 ปี อาชีพทำงานสัมผัสใกล้ชิดนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยมีไข้ ไอ ขณะนี้เข้ารับการรักษาอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคได้สอบสวนและเก็บตัวอย่างจากผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยทั้ง 2 ราย เพื่อส่งตรวจต่อไป และในบ่ายวันนี้จะนำข้อมูลผู้ป่วยและการสอบสวนโรคเบื้องต้นเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญ 3 ด้านต่อไปเพื่อพิจารณาโดยละเอียดอีกครั้ง ทำให้ขณะนี้ มีผู้ป่วยยืนยัน รวม 37 คน กลับบ้านได้ 22 คน คิดเป็นร้อยละ 60 ผู้ป่วยยืนยัน รักษาอยู่ที่โรงพยาบาล 15 คน นพ.สุขุม กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในวันนี้ก็มีข่าวดีด้วย คือผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 1 ราย ที่จ.กระบี่ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนอายุ 32 ปี ซึ่งนักท่องเที่ยวรายนี้ได้เดินทางเข้าประเทศไทยก่อนที่ประเทศจีนจะปิดสนามบินอู่ฮั่น ทั้งนี้ การที่เราพบผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการที่กระทรวงสาธารณสุขปรับนิยามการเฝ้าระวังคัดกรองตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.63 โดยขยายพื้นที่ครอบคลุมประเทศเสี่ยงใหม่ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน (ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน) และ 8 จังหวัดของไทย คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย สมุทรปราการ กระบี่ ภูเก็ต ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ประเทศไทยได้มีการคัดกรองผู้เดินทางจากทุกด่าน ทั้ง ด่านท่าอากาศยาน ด่านท่าเรือ ด่านพรมแดนทางบก และจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 3,141,879 คน (24 ก.พ.63) รวมถึงการเฝ้าระวังที่โรงพยาบาล และชุมชน พบผู้อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง 1,580 คน กักตัวไว้ที่โรงพยาบาล 420 คน กลับบ้านได้ 1,160 คน สำหรับการประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย อันดับที่ 14 เพื่อประโยชน์ต่อการดูแลประชาชน มีกฎหมายรองรับ ทำให้โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคลากรสามารถบังคับรับรักษา ปฏิบัติงานได้อย่างคล่องตัว ประโยชน์ต่อสังคมทำให้ประชาชนรู้สถานการณ์โรคเร็ว ลดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ขอให้ประชาชนเลี่ยง เลื่อนการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค หากเลี่ยงไม่ได้ให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข คือ หลีกเลี่ยงไปในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเมื่อกลับมาจากประเทศเสี่ยงให้แยกตัวเองออกจากสมาชิกในครอบครัว สังเกตอาการตัวเอง 14 วันหากมีไข้ ไอ จาม ให้พบแพทย์ทันที นอกจากนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการวิจัยยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกับไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อศึกษาวิจัยประสิทธิผลของยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในการต้านเชื้อไวรัส ระหว่างกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม