ก่อนจะระเบิดเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะมีความเคลื่อนไหว คึกคักครึกโครมกันภายในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลกันอย่างผิดหูผิดตา ไล่มาจากปฏิกิริยาของ กลุ่มสามมิตร ของ “ก๊วน 3 ส.” นำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมศักดิ์ เทพสุทิน และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นัด 40 ส.ส.กินข้าวเที่ยงที่โรงแรมสุโกศลเพื่อวางแผนเตรียมรับมือศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาถึงการเปิดตัวทีม “องครักษ์นอกสภา” ของอีก 1 ส. สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ วางเกมให้เป็นหน่วยรบปะ ฉะ ดะ ชงข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 5 คน โต้กลับฝ่ายค้าน ในช่วงของการอภิปราย โดยมีอดีตพลพรรคเพื่อไทยที่เรียกว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ อย่าง จำลอง ครุฑขุนทด เป็นประธาน ที่ “แรมโบ้อีสาน” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ หนึ่งในคณะทำงานคุยว่ามีแผนชนิด “เกลือจิ้มเกลือ” และล่าสุด พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ก็ออกมาบอกว่า จะมีวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาลที่สภาฯ คอยรวบรวมข้อมูลให้รัฐมนตรีและแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหากรัฐมนตรีชี้แจงไม่ครบถ้วน โดยเป็นคนประสานกับพรรคและพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งภูมิใจไทยและพรรคอื่นๆ ที่ตั้งวอร์รูมของพรรคตนเองให้ส่งคนมาช่วยสนับสนุน ทั้งที่ในเกมนี้ พรรคฝ่ายค้านวางคิวเชือดรัฐมนตรีในสังกัดของพรรคพลังประชารัฐล้วนๆ พรรคเดียว ไม่มีพรรคอื่นมาปะปน นั่นเท่ากับการกันให้พรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงคนดู ในเกมนี้เพียงเท่านั้น เพราะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคไม่ได้ถูกอภิปรายด้วย ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของบรรดาแกนนำกลุ่มก๊วนต่างๆในพรรคพลังประชารัฐ ถูกมองว่าเป็นปฏิกิริยาเคลื่อน ไหว ที่สะท้อน “ความหวั่นไหว” เพื่อหวังผลในการต่อรองเก้าอี้ในการปรับครม.ที่มีการกระพือข่าวนี้ออกมา โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นภายหลังศึกซักฟอก แล้วทำไมบรรดาแก่นแกนเหล่านั้น จึงต้องไหวหวั่น!!? ทอดตาทั่วกระดานการเมือง หมากกลในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ที่ต้องถอดสมการอยู่พอสมควร วิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ สัญญาณแปล่งแปลกสำคัญๆ สัญญาณแรก คือ ท่าทีของ 2 ศรีพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีพลัดถิ่น ทักษิณ – ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ย่างกรายเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์การเมือง ด้วยที่ผ่านมาหากมีจังหวะ โอกาสที่รัฐบาลเพี่ยงพล้ำเปิดแผลให้เห็นเมื่อใด “ทักษิณ” ย่อมจะไม่รอช้า ที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งในสถานการณ์ที่รัฐบาลเผชิญปัญหารอบด้าน ภาวะเศรษฐกิจที่บักโกรก จากผลกระทบต่างๆ ปัญหาฝุ่นพิษ Pm2.5 มาถึงไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 กระทั่งเหตุการณ์ร้าย กราดยิงกลางเมืองโคราช ที่กระทบต่อความมั่นคง ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่ “ทักษิณ” ยังคงนิ่ง อยู่ในเซฟตี้โซนของตนเอง มีเพียงน้องสาวที่ออกมาแย็บเบาๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียเท่านั้น ทว่าก็แทบไม่มีน้ำหนัก “แม้ดิฉันจะอยู่ไกล แต่ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชน ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เพราะนอกจากทุกท่านต้องเจอปัญหาเศรษฐกิจแล้วยังต้องเจอกับเรื่องอากาศเป็นพิษซ้ำเติมด้วยเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรเร่งออกมาตรการแก้ไขในเชิงรุกอย่างเร็วที่สุด” ยิ่งลักษณ์ระบุผ่านข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กระนั้น ในห้วงเวลาใกล้วันอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยแล้ว แนวรบนอกประเทศอย่าง “ทักษิณ” กลับยังนิ่ง มีเพียงข่าวคราวงานเลี้ยงรุ่นกลุ่มเพื่อนมงฟอร์ต 08 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่แชร์กันว่อนในโลกออนไลน์ ว่า “ทักษิณ” เปย์ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน วีซ่า ค่าโรงแรม ทัวร์ชมสถานที่ต่างๆ และค่าอาหารทุกมื้อให้กับ 61 ชีวิต “พวกเรา 61 ชีวิตเดินทางออกจากกรุงเทพเวลาตี 3 ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ มาถึงดูไบ เช้าวันเดียวกันเวลา 07.00 น. ….งานเลี้ยงเริ่ม 19.00 น. มีอาหารทะเลและอาหารจีนอร่อยมาก ไวน์แดงขวดละหมื่น 30 ขวดพร้อมกับวิสกี้ชั้นยอด งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง อบอุ่น เสียงหัวเราะ เสียงคุยกัน ในงานนี้มีอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยถึงสองท่านคือนายกฯทักษิณและนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาร่วมงาน พวกเราได้ร้องเพลงมงฟอร์ต ถ่ายรูป ทำให้หายเหนื่อย งานเลี้ยงเลิกประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ในระหว่างงานท่านนายกฯทักษิณได้กล่าวคำปราศรัย ในท่อนหนึ่งของคำปราศรัยท่านได้กล่าวว่า “ผมดีใจมากที่ได้ร่วมฉลองครบรอบ 55 ปีของรุ่น ปกติผมมีแขกมาพบบ่อยครั้งมาก แต่ไม่มีครั้งใดที่ผมจะตื่นเต้นเท่าครั้งนี้ ที่ได้มาพบเพื่อนสมัยเด็ก เคยเรียนและเล่นมาด้วยกัน” ท่านยังบอกให้พวกเรารักษาสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงและเข้มแข็ง เพื่อจะได้มาฉลองครบรอบ 60 ปีกันอีกครั้ง” ความตอนหนึ่งจากข้อความที่เผยแพร่ทางออนไลน์เล่าบรรยากาศในงานเลี้ยง โดยไม่มีเนื้อหาใดๆ ที่เฉียดใกล้กับการเมืองแม้แต่น้อย สัญญาณที่สอง การทอดไมตรีของสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะไม่ลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในวาระ 2-3 แต่ได้นำสมาชิกลงชื่อเข้าร่วมประชุมเพื่อให้เปิดประชุมได้ และทำให้งบประมาณผ่านสภา พร้อมกับมีท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยเห็นด้วยกับแนวทางของ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ให้พิจารณาใหม่ตั้งแต่มาตรา 1 หลังเกิดความวิตกกังวลเรื่องความถูกต้องของการพิจารณาในมาตรา 6 ทำให้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่พรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยจะจับมือกัน ประกอบกับมีข่าวสะพัดออกมาว่ามีการเจรจาเพื่อดึงพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมรัฐบาล คืบหน้าไปไกลถึงขั้นจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย 12 ตำแหน่งแล้ว ลงลึกไปถึงที่ว่ากลุ่มใดจะได้เก้าอี้จำนวนเท่าไหร่ กระทรวงใด และบุคคลใดจะเข้ามาเป็นเสนาบดีด้วยซ้ำ กระนั้น เมื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของข่าวดังกล่าวไปยังแกนนำพรรคพลังประชารัฐ กลับไม่ได้รับการปฏิเสธ หากแต่ระบุเพียงว่าเป็น “แผนสอง” !! ด้วยปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาล ที่เผชิญภาวะเสียงปริ่มน้ำ ทำให้มีความอึดอัดในการบริหารจัดการพรรคร่วมรัฐบาล และต้องรับแรงเสียทานในการต่อรองทางการเมืองจาก 2 พรรค คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย จึงมีโอกาสที่จะปรับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยออกแล้วนำพรรคเพื่อไทยเข้ามาเสียบแทน เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นเอกภาพ และเกลี่ยกระทรวงใหม่เพื่อดูแลด้านเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ รายการ “วัดใจ” จึงเกิดขึ้นว่า หาก “บิ๊กตู่” ลากถูลู่ถูกังผ่านศึกไปไม่ไหว โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงผู้นำ จากพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจจะมีความเป็นไปได้ขึ้นมา ดังที่เคยมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ มีการเตรียมแผนให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หวนคืนสู่เก้าอี้ผู้นำแทน นี่เป็นประเด็นที่พรรคพลังประชารัฐ ไม่ไว้วางใจผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่อาจอยู่เบื้องหลังในเกมนี้ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ บรรดาแกนนำกลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลเองก็ประเมินเอาไว้เช่นกัน จึงไม่แปลกที่จะมีความพยายามในการแสดงออกถึงการปกป้อง “กล่องดวงใจ”อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ก็มีทั้งวอร์รูมข้าราชการหรือที่เรียกว่า “วอร์รูมตึกไทยคู่ฟ้า” สแตนด์บายเก็งข้อสอบให้อยู่แล้ว ยังมีวอร์รูมนอกสภา และมีวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาอีก นั่นจึงทำให้เซียนการเมือง ออกมาอ่านเกมในครั้งนี้ว่า การเคลื่อนไหวในแนวรบเพื่อปกป้อง “บิ๊กตู่”นั้น หวังผลไปที่การปรับครม. จึงไม่แปลกที่ “บิ๊กตู่” พยายามส่งสัญญาณว่าจะชี้แจงเองไม่พึ่งพาองครักษ์ เวลาตัดบัวจะได้ไม่ต้องเหลือใย