เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ได้มีตัวแทนชาวบ้าน กว่า 200 คน ในพื้นที่ อ.ธาตุพนม นำโดย นายธนัตชัย คำป้อง อายุ 47 กำนันตำบลธาตุพนม ประธานกลุ่มข้าโอกาสพระธาตุพนม พร้อมด้วยผู้นำชุมชนต่างๆ ได้ออกมารวมตัวประท้วงคัดค้าน กรณีคณะกรรมการวัดพระธาตุพนม ได้มีการว่าจ้างผู้รับจ้างเอกชน เข้ามาดำเนินการ ขุดย้าย รูปหล่อ และเจดีย์ บรรจุอัฐิธาตุ ของ พระครูหลวงโพนสะเม็ก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อขี้หอม ยาคูขี้หอม นับเป็นสังฆราชแห่งนครจำปาสัก เนื่องจากเป็นพระเถราจารย์ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านช้าง ที่ได้เข้ามาพัฒนาบูรณปฏิสังขรณ์ องค์พระธาตุพนม เมื่อปี 2233 -2235 ทำให้มีความเจริญรุ่งเรือง และมีคนเลื่อมใสศรัทธา ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน จนกระทั่ง พระครูหลวงโพนสะเม็ก ได้มรณภาพลง รวมสิริอายุ 90 ปี ภายหลังศิษยานุศิษย์ ได้นำอัฐิธาตุส่วนหนึ่งได้บรรจุไว้ในเจดีย์ นอกกำแพงแก้วชั้นที่ 2 มีรูปหล่อหน้าเจดีย์เท่าองค์จริง ด้านข้างองค์ พระธาตุพนมด้านทิศเหนือ ให้ชาวพุทธกราบไหว้จวบจนทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เกิดปัญหาหลังเคยเกิดความวุ่นวาย เมื่อปี 2552 เนื่องจากทางคณะกรรมการวัดพระธาตุพนม จะมีการขุดย้ายรูปหล่อ และเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ ไปไว้ที่อื่น อ้างว่าเพื่อความเหมาะสม และปรับพื้นที่ให้เกิดความสะดวกในการจัดงานพิธีสำคัญ แต่ชาวบ้านคัดค้านไม่ยินยอม จนกระทั่งเรื่องเงียบไป ต่อมา เมื่อปลายปี 2562 ทางคณะกรรมการวัดพระธาตุพนม จึงได้นำเรื่องเดิมขึ้นมาหารือ เสนอไปยังสำนักศิลปากรที่ 7 อุบลราชธานี ที่ดูแลรับผิดชอบ เพื่อขอดำเนินการ จึงได้มีหนังสือแจ้งมายังคณะ กรรมการวัดพระธาตุพนม ว่าหากจะมีการดำเนินการให้จัดทำประชาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตามขั้นตอน ต่อมาล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางวัดพระธาตุพนม และคณะกรรมการวัด ได้มีการว่าจ้างให้ ผู้รับจ้าง เข้ามาดำเนินการเตรียมขุดย้าย รูปหล่อ และเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ พระครูหลวงโพนสะเม็ก ออกจากจุดเดิม ไปไว้ที่ใหม่ ทำให้ชาวบ้านพบเห็นจึงเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากพบว่า ส่วนหนึ่ง เป็นการทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุ ภายในวัดพระธาตุพนม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง อายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี โดยไม่มีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประชาชน เชื่อว่ามีการแอบแฝงเรื่องอื่น เป็นการทำลายโบราณสถาน และทำร้ายจิตใจชาวพุทธ ชาวธาตุพนม และชาวไทย ชาวลาวที่เคารพศรัทธา จึงออกมารวมตัวกันประกาศจุดยืน แสดงพลัง เรียกร้องคัดค้านผ่านสื่อ ไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง ให้มีการยุติการดำเนินการ และร่วมกับนำเครื่องมือจอบเสียมมาขุดดินกลบหลุมที่ถูกขุดขึ้นมา ส่วนหนึ่งพบว่า เกิดความเสียหายของซากอิฐปูนโบราณ ภายใต้ฐานรอบๆ รูปหล่อ และเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ พร้อมได้เรียกร้องให้กรมศิลปากร ออกมาตรวจสอบหาแก้ไขเร่งด่วน ทั้งนี้ ทางด้าน นายสามารถ สุวรรณมณี นายอำเภอธาตุพนม ได้มอบหมายให้ นายสุพจน์ ผิวดำ ปลึดอาวุโส พร้อมด้วย นายขจรศักดิ์ นิตชิน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลธาตุพนม และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้อง เข้าไปตรวจสอบ รับทราบปัญหา ร่วมกับชาวบ้าน และทางตัวแทนคณะกรรมการวัด เพื่อขอให้ยุติการดำเนินการ และเสนอไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ด้านนายธนัตชัย คำป้อง อายุ 47 ปี กำนันตำบลธาตุพนม ประธานกลุ่มข้าโอกาสพระธาตุพนม เปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับ ข้าโอกาสพระธาตุพนม เป็นอย่างมทาก รวมถึงพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทย ชาวลาว ที่เคารพศรัทธา เนื่องจากการดำเนินการครั้งนี้ ทางวัดไม่ได้หารือกับชาวบ้าน ถึงความเหมาะสม อีกทั้งยังไม่ดำเนินการตามขั้นตอนที่กรมศิลปากร แจ้งมา มีการลักไก่ ว่าจ้างผู้รับจ้างเข้าไปขุดดินโดยพละการ สำคัญที่สุดไม่เพียงทำร้ายจิตใจชาว อ.ธาตุพนม ข้าโอกาสพระธาตุพนม ยังทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุ ในจุดดังกล่าว เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญ ทำให้ร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์เสียหาย อย่างไรก็ตาม ตนรวมถึงข้าโอกาสพระธาตุพนม ไม่ยินยอม และประกาศจุดยืนขอคัดค้านให้ถึงที่สุดไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย เนื่องจากจุดเดิมถือเป็นประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ ก่อสร้างไว้ ไม่มีความจำเป็นที่จะย้าย เชื่อว่าหากใครย้ายออกไปจะเกิดอาเพศ และสิ่งไม่ดีจะเกิดขึ้นกับคนที่รู้เห็นดำเนินการแน่นอน เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กำนัน นายธนัตชัย คำป้อง กล่าวอีกว่า สำหรับ เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก หรือ พระครูขี้หอม ถือเป็น พระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีบทบาท ในการเป็นผู้นำชุมชนและการเมืองฝั่งโขง ในยุคอาณาจักรลาวแผ่ขยายครอบคลุมสองฝั่งแม่น้ำโขง นับเป็นสังฆราชแห่งนครจำปาสัก เนื่องจากเป็นพระเถราจารย์ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านช้าง ที่ได้เข้ามาพัฒนาบูรณปฏิสังขรณ์ องค์พระธาตุพนม เมื่อปี 2233 -2235 ส่วน เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก เกิดเมื่อจุลศักราช 993 ปีมะแม ตรงกับ พ.ศ.2174 สมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช แห่งล้านช้าง เวียงจันทน์ ที่เมืองโพพันลำ เทือกเขาภูพาน (ปัจจุบันคือบ้านกะลืม หมู่ 5 เทือกเขาภูพาน เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) พ.ศ.2233 เหตุการณ์ในเวียงจันทน์วุ่นวาย แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย จึงได้อพยพบริวารและผู้ติดตาม 3,000 คน เดินทางไปถึงชายแดนเขมร ระหว่างทางท่านและลูกศิษย์ได้สร้างเมือง ก่อตั้งวัดวาอารามหลายแห่ง จึงเกิดชุมชนลาวตั้งขึ้นสองฝั่งแม่น้ำโขง และลำน้ำสาขา ด้วยแรงศรัทธาและบารมีที่มีต่อเจ้าราชครูโพนสะเม็กมากขึ้น จึงได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นพระราชา ปกครองเมืองนครจำบากนาคบุรีศรี ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น นครจำปาสัก ในเวลาต่อมาอาณาจักรดังกล่าวแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ลูกศิษย์ท่านได้ไปสร้างเมืองใหม่ สองฝั่งน้ำโขง มีสัมพันธไมตรีกับเขมร ขณะที่เจ้าราชครูดำรงตำแหน่งฝ่ายสงฆ์ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยการสร้างพระพุทธรูป สร้างวัดวาอารามหลายแห่ง ที่สำคัญตามตำนานพระธาตุพนม ระบุว่า ช่วงปลายศตวรรษที่ 22 ประมาณ พ.ศ.2233 - 2235 พระครูขี้หอม หรือ เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ได้มาบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม ครั้งที่ 5 เป็นเวลานานถึง 3 ปีจึงแล้วเสร็จ หลังพระครูหลวงโพนสะเม็ก ได้มรณภาพลง รวมสิริอายุ 90 ปี หรือประมาณปี 2263 ศิษยานุศิษย์ ได้นำอัฐิธาตุส่วนหนึ่งได้บรรจุไว้ในเจดีย์ นอกกำแพงแก้วชั้นที่ 2 มีรูปหล่อหน้าเจดีย์เท่าองค์จริง ด้านข้างองค์ พระธาตุพนมด้านทิศเหนือ คือจุดเดิมที่เห็นในปัจจุบัน อายุเก่าแก่ ราว 300 ปี