ถือเป็นศึกภายใน ชิงความเป็นที่หนึ่ง เพื่อให้ได้เป็นตัวแทนพรรค ไปทำศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปีนี้ ที่พลิกความคาดหมาย และดุเดือดครั้งหนึ่ง สำหรับ การเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต สหรัฐฯ ในช่วงแรกเริ่มนี้ ทั้งนี้ แม้ว่าการเลือกตั้งขั้นต้นดังกล่าวผ่านพ้นไปเพียง 2 รัฐ เท่านั้น แต่ก็ส่งผลให้บรรดาคอการเมืองระดับฮาร์ดคอร์ ต้องกลับมาทบทวนพิจารณากันใหม่ ถึงตัวเก็งที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปสู้ศึกเลือกตั้งกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน รั้งบัลลังก์เจ้าทำเนียบขาวอีกสมัย ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 พ.ย.ปลายปีนี้ โดยแรกเริ่มเดิมที บรรดาคอการเมืองสหรัฐฯ ล้วนต่างฟันธงตรงกันเป็นเสียงเดียวว่า “โจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดี สมัย “บารัก โอบามา” น่าจะ “นอนมา” เพราะคะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อรองประธานาธิบดีผู้นี้ ดูดีมีภาษีเหนือใคร ประสานเสียงกับผลโพลล์ของบรรดาสำนักโพลล์ต่างๆ ที่สำรวจความคิดเห็นอเมริกันชนเมื่อใด ก็ให้นายไบเดน เหนือกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ของพรรคเดโมแครตกันเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็น “นายเบอร์นี แซนเดอร์ส” สมาชิกวุฒิสภา หรือสภาซีเนต แห่งรัฐเวอร์มอนต์ หรือ “นายไมเคิล บลูมเบิร์ก” อดีตนายกเทศมนตรีแห่งมหานิวยอร์กคนดัง เป็นอาทิ หรือแม้กระทั่ง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ก็ยังปรากฏว่า อดีตรอง ประธานาธิบดีไบเดน ก็มีคะแนนนิยมเหนือกว่าหลายจุด และมีคะแนนนิยมนำหน้าในทุกสำนักโพลล์ ถึงขนาดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องดำเนินกลยุทธ์ ยืมดาบจากยูเครน มาเชือดรองประธานาธิบดีไบเดน กันเลยทีเดียว ดังปรากฏว่า ในศึกอิมพีชเมนต์ หรือถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งจบกระบวนการไปหมาดๆ ทว่า เมื่อถึงคราสัประยุทธ์กันจริงๆ ในสนามเลือกตั้งขั้นต้นที่เพิ่งผ่านพ้นมา ปรากฏว่า อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ว่ากันว่า กระแสนิยมาแรงแซงโค้ง กลับแหกโค้ง พ่ายแพ้ให้แก่บรรดาผู้สมัครคนอื่นๆ อย่างหมดรูป โดยในการเลือกตั้งขั้นต้นแบบคอคัส ที่รัฐไอโอวา ในฐานะรัฐเปิดประเดิม เมื่อต้นเดือน ก.พ. ซึ่งปรากฏว่า นายไบเดน ได้ลำดับที่ 4 พร้อมกับคว้าคณะตัวแทนเลือกตั้ง หรือดิลิเกต (Delegate) ได้เพียง 6 เสียง เพราะถูก “ม้ามืด” และ”ม้านอกสายตา” อื่นๆ เบียดขับจนพ่ายไป ทั้งนี้ ในรัฐไอโอวา “นายพีท บูติเจิจ” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเซาท์เบนด์ รัฐอินดีแอนา ผู้ถูกยกให้เป็นม้ามืด คว้าชัยชนะไป พร้อมกับคว้าดิลิเกตไปครอบครองได้ถึง 13 เสียง ตามมาด้วยผู้สมัครที่แต่ก่อน ถือว่าเป็นม้านอกสายตา แต่ได้อันดับสองในการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐไอโอวา และครอบครองดิลิเกตไปจำนวน 12 เสียง จากนั้น อีกสัปดาห์ถัดมา คือ เมื่อราวกลางเดือน ก.พ.นี้ ก็เป็นศึกชิงชัยแบบไพรมารีที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ผลปรากฏว่า นายแซนเดอร์ส ได้หักปากกาเซียนจากการผลโพลล์ที่ส่วนใหญ่ ยังยกให้อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมเหนือกว่าบรรดาผู้สมัครคนอื่นๆ แต่ผลปรากฏว่า นายไบเดนยังหาชัยไม่เจอในสมรภูมิไพรมารีที่นิวแฮมป์เชียร์ เพราะนายแซนเดอร์ส ได้รับชัยชนะไป เพร้อมกับคว้าดิลิเกตเป็นรางวักำนัลมือเพิ่มเติมมาอีก 9 เสียง ส่งผลให้สมาชิกสภาซีเนตแห่งรัฐเวอร์มอนต์ผู้นี้ มีดิลิเกตสะสมอยู่ในมือ ณ เวลานี้ 21 เสียง ส่วนอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ไม่ได้ดิลิเกตเลยแม้แต่เสียงเดียว ในศึกไพรมารีที่นิวแฮมป์เชียร์ ทำให้เขามีดิลิเกตสะสมจำนวนเพียง 6 เสียงเท่านั้น โดยสังเวียนชิงชัยแบบไพรมารีที่นิวแฮมป์เชียร์ข้างต้น อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ยังพ่ายแพ้ให้แก่ม้ามืดอย่าง “นายพีต บูติเจิจ” ด้วยซ้ำ ซึ่งอดีตนายกเทศมนตรีนครเซาท์เบนด์ รัฐอินดีแอนา ผู้นี้เข้าเส้นชัยมาเป็นลำดับที่ 2 ต่อจากนายแซนเดอร์ส โดยได้จำนวนดิลิเกตมาเพิ่มเติมอีก 9 เสียง เท่ากับนายแซนเดอร์ส แต่คะแนนดิบของนายแซนเดอร์ส เหนือกว่า ส่วนอันดับที่ 3 ตกเป็นของ “นางเอมี จีน คโลบูชาร์” สมาชิกสภาซีเนตแห่งรัฐมินนิโซตา ได้ดิลิเกตไปครอง 6 เสียง ส่วนอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน เข้าป้ายเป็นที่ 5 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย ไม่ได้รับดิลิเกตเลยแม้แต่เสียงเดียว เมื่อผลออกมาเยี่ยงนี้ ก็ส่งผลให้บรรดาคอการเมืองสหรัฐฯ ระดับฮาร์ดคอร์ เริ่มพิจารณาทบทวนกันใหม่ว่า นายแซนเดอร์ส ส่อเค้าส่งสัญญาณว่า อาจจะมาแทนที่นายไบเดน ในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปสู้ศึกเลือกตั้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนายทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน เจ้าของตำแหน่งเดิม ในปลายปีนี้ เช่นเดียวกับสำนักโพลล์ สำรวจความคิดเห็นทั้งหลาย ที่ต้องขยับปรับยุทธศาสตร์การสำรวจทรรศนะของประชาชนคนอเมริกันกันใหม่ ก่อนปรากฏผลโพลล์ชุดใหม่ล่าสุด ที่ระบุว่า กระแสของนายแซนเดอร์สกำลังมาแรง จนทำให้คะแนนนิยมของ ส.ว.แห่งรัฐเวอร์มอนต์ผู้นี้ แซงผู้สมัครคนอื่นๆ ของพรรคเดโมแครต รวมทั้งนายไบเดน หรือแม้กระทั่งเมื่อเปรียบเทียบกับประธานาธิบดีทรัมป์ แบบแทบจะทุกสำนักโพลล์ อาทิ เรียเคลียร์โพลิทิกส์ หรืออาร์ซีพี ให้นายแซนเดอร์ส ที่ร้อยละ 23.6 เหนือกว่านายไบเดน ที่ร้อยละ 19.2 อีโคโนมิสต์ที่จับมือกับยูกอฟ ให้นายแซนเดอร์ส ที่ร้อยละ 22 นำหน้านายไบเดน ที่ร้อยละ 18 ควินนิเพียก ให้นายแซนเดอร์ส นำที่ร้อยละ 25 ส่วนนายไบเดนที่ร้อยละ 17 มีเพียงเดอะฮิลล์ ซึ่งจับมือกับแฮร์ริสเอ็กซ์ ที่ให้นายไบเดน นำที่ร้อยละ 23 ส่วนนายแซนเดอร์ส ได้ร้อยละ 20 เมื่อนำนายแซนเดอร์ส เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ปรากฏว่า สมาชิกสภาซีเนตแห่งรัฐเวอร์มอนต์ ก็มีคะแนนนิยมเหนือกว่า เช่น การสำรวจของอาร์ซีพี ได้ผลออกมาว่า นายแซนเดอร์ส มีคะแนนนิยมที่ร้อยละ 49.3 มากกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ได้ร้อยละ 45.0 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ผลสำรวจที่ออกมาจะมีคะแนนนิยมตามหลัง แต่ปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ดูจะพอใจกับสถานการณ์ภายในพรรคเดโมแครต ที่นายแซนเดอร์ส มีคะแนนนิยมนำหน้าเหนือใคร ทั้งนี้ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ เคยแสดงออกถึงสัญญาณท่าทีว่า เขาสู้กับพลพรรคเดโมแครตอย่างสบายๆ ได้ทุกคน ยกเว้นกับอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ที่ดูแล้วจะ “ตึงมือ” มากที่สุด ดังปรากฏในฉากยืมดาบยูเครนฆ่าครอบครัวไบเดน จนเป็นที่อื้อฉาวในศึกอิมพีชเมนต์กันมาแล้ว