ท่ามกลางสภาพอากาศแวดล้อมและมลพิษของไทย โดยเฉพาะในปีนี้ ที่มีทั้งฝุ่น PM 2.5 และไวรัสโควิด-19 ที่ทำเอาผู้คนต่างบ่นดูเหมือนโลกทุกวันนี้จะอยู่ยากขึ้นทุกที
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และประธานชมรมเชื้อราทางการแพทย์ประเทศไทย โพสต์ผ่านเพจ “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ถึงมุมมองปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยระบุ
“มนุษย์หายใจตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวันตาย และไม่ใช่เพิ่งจะหายใจฝุ่น PM 2.5
ความจริงฝุ่นขนาดเล็กนี้มีมานานนับหมื่นๆ ปี บรรพบุรุษของเราดำรงชีวิตได้ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีฝุ่นจากทะเลทราย มีไฟป่า ภูเขาไฟระเบิด เนื่องจากมนุษย์มีวิวัฒนาการสามารถปรับตัวทางพันธุกรรม คนที่ปรับตัวทางยีนสามารถมีชีวิตรอด แพร่พันธุ์ต่อได้
เราเข้าสู่โลกยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการใช้ถ่านหิน ขนส่ง คมนาคมใช้น้ำมันดีเซล การเผาวัสดุทางการเกษตรเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้ว และคนเริ่มสูบบุหรี่มวนอย่างปัจจุบันประมาณ 100 ปี ทั้งโลกมีคนสูบบุหรี่ประมาณ 1.1 พันล้านคน เฉลี่ยวันละ 16 มวนต่อวันเท่ากับสูบบุหรี่วันละ 18 พันล้านมวนต่อวัน คาดว่าบุหรี่คร่าชีวิต 7 ล้านคนต่อปี (เป็นคนสูบบุหรี่มากกว่า 6 ล้านคน และคนรับควันบุหรี่มือสองอีก 890,000 คน)
เราทราบอยู่แล้วว่าคนที่สูบบุหรี่และได้รับควันบุหรี่ไม่ได้ป่วยทุกคน คงเป็นเพราะบางคนมียีนพิเศษสามารถป้องกันควันพิษจากบุหรี่
นักวิจัยชี้ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ไม่น่ากลัวเท่าพิษจากควันบุหรี่ สูบบุหรี่ 1 มวน จะเทียบเท่ากับหายใจมลพิษทางอากาศ PM2.5 = 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ในประเทศที่มีระดับฝุ่น PM2.5 ต่ำเข้าเกณฑ์ค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ย PM2.5 เท่ากับ 9 มคก./ลบ.ม ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% ก็ยังเท่ากับสูบบุหรี่เฉลี่ย 0.4 มวนต่อวัน
ค่า PM2.5 ในกรุงเทพมหานครไม่ได้แย่มากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในประเทศอื่น คงเท่ากับสูบบุหรี่เฉลี่ยประมาณ 2 มวนต่อวัน วันที่ฝุ่น PM2.5 มากๆในบางวันเท่านั้นอาจเท่ากับสูบบุหรี่ 5 มวน ดีกว่าเมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย ค่าPM2.5 ที่นั่นเท่ากับสูบบุหรี่ 25 มวน
ปัญหาฝุ่น PM2.5 ความจริงมีมานานแล้วในกทม. ไม่ใช่เพิ่งเกิด และก็ไม่ได้แย่ลง ค่า PM2.5 เกินมาตรฐานทุกปี ตั้งแต่เริ่มมีการวัด 9 ปีที่แล้วพบเฉพาะในช่วงธันวาคมถึงมีนาคม
สาเหตุหลักของฝุ่นในกทม.ช่วง 3 เดือนนี้ เกิดจากสภาพภูมิอากาศ ลมสงบ มีการผันกลับของอุณหภูมิ (temperature inversion)ทำให้ความกดอากาศสูง อากาศปิด ฝุ่น PM2.5 ลอยขึ้นสูงไม่ได้ สะสมในอากาศเพิ่มขึ้น ในช่วง 3 เดือนค่าฝุ่นสูงเกินค่ามาตรฐานก็ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน อย่างเช่นเมื่อวานอากาศในกทม.ปลอดโปร่ง ฝุ่นละออง PM2.5 ลดลง ไม่เกินค่ามาตรฐาน
ในวันที่ฝุ่น PM2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน แนะนำให้กลุ่มเสี่ยงคือ
1เด็กเล็ก
2ผู้หญิงตั้งครรภ์
3คนสูงอายุ
4คนที่มีโรคเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ทางจมูก โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดในสมองตีบ
งดทำกิจกรรมและออกกำลังกายนอกบ้าน ใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้าน ใช้หน้ากาก N95 ระยะสั้นๆได้ แต่ใส่นานไม่ไหวเพราะอึดอัด ปฏิบัติตามคำแนะนำกรมควบคุมมลพิษ และกรมอนามัย ควรติดตามแอพพลิเคชัน Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ
การที่กทม.ติดตั้งหอฟอกอากาศ เตรียมติดตั้งเครื่องฟอกอากาศหลังรถโดยสาร ซื้อรถพ่นละอองน้ำ ติดตั้งหัวฉีดพ่นละอองน้ำประปาจากใต้สะพานลอยและจากตึกสูงเพื่อดักจับละอองฝุ่น PM2.5 ช่วยประชาชนในด้านจิตวิทยามากกว่าด้านสุขภาพ คนทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศแบบพกพา
คนไทยต้องให้ความร่วมมือลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ดูแลสภาพรถ ไม่ปล่อยควันดำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เผาทุกอย่างโดยไม่จำเป็น รวมทั้งเผาธูป กระดาษเงินกระดาษทอง
คนไทยวิตกกังวลเรื่องฝุ่น PM2.5 มากเกินไป เพราะในสื่อเต็มไปด้วยถ้อยคำต่างๆ ที่ปลุกปั่นสร้างความกลัวอย่างเช่น ฝุ่นมรณะ ฝุ่นมัจจุราช ฝุ่นทำให้อายุสั้น ตายก่อนวัยอันควร
เราต้องไม่เครียด ไม่ตื่นตระหนกตกใจเกินไป เราต้องเข้าใจว่าฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่เพิ่งเกิด ร่างกายของเรามีวิวัฒนาการปรับตัวกับฝุ่นนี้มานานหลายหมื่นปีแล้ว อันตรายของฝุ่น PM2.5 น้อยกว่าสูบบุหรี่มวนหลายเท่า”