จากกรณีเมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 14 ก.พ.เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ-ฝ่ายสืบสวน สน. ปทุมวัน ได้เข้าปิดล้อมอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ในซอยจุฬา10 ถนนบรรทัดทอง แขวงวังใหม่ เขต ปทุมวัน กทม.หลังมีเสียงปืนดังขึ้นจำนวนกว่า20 นัด สำหรับที่เกิดเหตุเป็นร้านแกรนด์สปอร์ต ที่จำหน่ายเสื้อผ้า-กีฬา ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นชาย 1 คน อายุประมาณ 40 ปี ที่กำลังมีปัญหาทางครอบครัว เลยเอาปืนมายิงออกนอกบ้าน เมื่อประมาณ 04.00 น.และต่อเนื่องมาจนถึงเช้า โดยขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่และญาติกำลังเข้าไปเกลี่ยกล่อม พร้อมให้ผู้ก่อเหตุวางอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ และยังมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ ทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ทางด้านนายพงศกร ทองดี อายุ 20 ปี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในซอยจุฬา10 เล่าให้ฟังว่า ตนและกลุ่มเพื่อนๆ นั่งเล่นกันที่ลานจอดตามปกติเหมือนกันทุกวัน จากนั้นเวลาประมาณ 04.00 น.ได้ยินเสียงปืนหลายนัด แต่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใด ตนจึงรีบวิ่งหนีไปหลบซ่อน แต่ผู้ก่อเหตุได้ยิงปืนมาที่เพื่อนของตน แต่โชคดีหลบทัน จากนั้นตนจึงได้โทรแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ และเมื่อตำรวจมาถึงผู้ก่อเหตุยังยิงใส่ด้วย และยิงเป็นระยะมากกว่า 40 นัด สำหรับผู้ก่อเหตุทราบชื่อนายเอกชัย อายุ 44 ปี อาศัยอยู่บ้าน ย่านถ.พระราม 6 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม. หลังก่อนเหตุได้เก็บตัวเงียบอยู่ภายในอาคารเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานหน่วยอรินทราช 26 เข้ามาระงับเหตุ โดยใช้เวลา 30 นาที คนร้ายจึงยินยอมให้เข้าควบคุมแต่โดยดี ก่อนคุมตัวมายังห้อง ศปก.สน.ปทุมวัน โดยมีเจ้าหน้าที่แพทย์ จาก รพ.ตำรวจ มาตรวจร่างกาย รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบปากคำนายเอกชัย เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า มีความเครียดปัญหาเรื่องธุรกิจกับครอบครัว หนำซ้ำเมื่อวานนี้เพิ่งเสพยาไอซ์เข้าไป ทางตำรวจจึงประสานเจ้าหน้าที่แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ มาทำการตรวจเลือด และปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่านายเอกชัย มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองจำนวน 4 กระบอก แต่ที่พบในบ้านหลังนี้มี 2 กระบอก ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ 2 กระบอก คือโคลท์ ขนาด .45 และกล็อก ขนาด 9 มม. โดยเริ่มยิงปืนภายในบ้านตั้งแต่ช่วง 03.30 น. เรื่อยมาถึง 05.00 น. ก่อนจะเงียบหายไป พล.ต.ต.ปิยะ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ให้พี่ชายผู้ต้องหาเข้าไปที่เรียกกล่อมเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าตัวจึงสงบอารมณ์และยอมมอบตัวกับตำรวจ เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่านายเอกชัย ครอบครองอาวุธปืนที่จดทะเบียนทั้งหมด 4 กระบอก ใช้ในตอนเกิดเหตุ 2 กระบอก โดยยิงแบบไร้ทิศทางประมาณ 30-40 นัด จากนี้จะเสนอขอเพิกถอนใบอนุญาตถือครองอาวุธปืนของผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อประชาชน โดยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานอยู่ระหว่างตรวจสอบปลอกกระสุนปืนในพื้นที่เกิดเหตุ เบื้องต้นจากการพูดคุยกับผู้ต้องหาพบว่ามีอาการปกติและอารมณ์เย็นลง ระบุว่าสาเหตุที่ยิงนั้นเป็นเพราะมีปัญหาส่วนตัว เรื่องครอบครัวและธุรกิจการค้า จากนี้จะส่งตัวผู้ต้องหาไปตรวจร่างกายหาสารเสพติด และสภาพทางจิตที่โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนจะนำตัวมาฝากขังเตรียมส่งศาลอาญากรุงเทพใต้ดำเนินการต่อไป พล.ต.ต.ปิยะ เปิดเผยอีกว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือ ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ด้านความเสียหายอยู่ระหว่างตรวจสอบ ส่วนข้อหาอื่นๆ นั้นต้องรอพยานหลักฐานและสอบปากคำอย่างละเอียด หากเข้าข่ายความผิดใดจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป “สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นพฤติกรรมเลียนแบบเหตุกราดยิงที่เทอร์มินอล 21 โคราช ผู้ต้องหาระบุว่ายิงปืนไปเพื่อระบายความเครียดเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาก่อเหตุยิงผู้ใด จึงฝากขอโทษสังคมด้วย” พล.ต.ต.ปิยะ กล่าว