พุ่งแรงฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว สำหรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สโมสรแกร่งตัวเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีก 2019 / 2020 ที่ตั้งแต่เปิดซีซั่นมายอดกุนซือชาวเยอรมัน “เจอร์เกน คล็อปป์” พาลูกทีมไร้พ่ายติดต่อกัน 18 เกม และล่าสุดหลังจากที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมาได้สำเร็จ ก็ได้คว้าแชมป์สโมสรโลก เป็นการครอง 3 ถ้วยติดในปี 2019 อีกทั้งนักเตะของ ลิเวอร์พูล ยังมีฟอร์มที่พัฒนาและโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายคนต่างฟันธงเลยว่า ปีนี้หงส์แชมป์แน่นอน! และในซีซั่นนี้ ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี สักเท่าไหร่ เพราะ “ลิเวอร์พูล” กลับมาพร้อมกับความแข็งแกร่งหลังจากที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และล่าสุดกับแชมป์สโมสรโลก ที่เป็นการคว้าถ้วยรายการที่ 3 ในปี 2019 ของ “ลิเวอร์พูล” เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว อีกทั้ง “เลสเตอร์ ซิตี” สโมสรแกร่งอีกหนึ่งทีมมาแรง ก็ได้ก้าวขึ้นมาเบียดติดท็อป 3 ไปกับ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ที่ทำเอาหลายคนต่างลุ้นกันหนักมากสำหรับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษในซีซั่นนี้ โดยการแข่งขัน “ENGLAND: Premier League” เหลือเพียง 13 นัดสุดท้ายที่ ที่พอจะมองออกแล้วว่า “แชมป์” ในฤดูกาล 2019/2020 จะตกเป็นของ ”หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูงในขณะนี้ หลังใส่เกียร์ 5 เหยียบคันเร่งไม่มีผ่อน แข่ง 25 นัด ชนะ 24 นัด เสมอ 1 นัด ยังไม่ปราชัย โกยแต้มไปว่า 73 คะแนน แต่อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรื่องที่แชมป์ในปีนี้จะสามารถเก็บคะแนนได้มากที่สุดกี่คะแนน เพราะหากเราย้อนดูสถิติที่เกิดขึ้นในอดีต ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเป็นแชมป์แล้วมีแต้มสูง ๆ ยิ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลการแข่งขันที่ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี พลาดท่า บุกไปพ่าย “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 0-2 ยิ่งทำให้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ขยับเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเหลือเพียง 6 นัดเท่านั้น ที่ต้องการ ส่วน “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี สามารถทำคะแนนมากที่สุดในฤดูกาลนี้จาก 13 นัดที่เหลือของฤดูกาลเท่ากับ 90 คะแนน หมายความว่าหาก “หงส์แดง” เอาชนะในอีก 6 นัดต่อจากนี้ จะได้เพิ่มอีก 18 คะแนน รวมแล้วเท่ากับ 91 คะแนน จะการันตีการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในทันที แม้จะเหลือการแข่งขันอีก 7 เกมก็ตาม เพราะแต้มขาดไปแล้วและหาก “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี สะดุดอีกหลังจากนี้ ก็จะยิ่งเป็นการหยิบยื่นถ้วยพรีเมียร์ลีกอังกฤษให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เร็วยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน สำหรับอีก 6 เกมในลีกต่อจากนี้ของทั้ง 2 ทีม “ลิเวอร์พูล” จะพบกับ นอริช ซิตี (เยือน) เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เหย้า) วัตฟอร์ด (เยือน) บอร์นมัธ (เหย้า) เอฟเวอร์ตัน (เยือน) คริสตัล พาเลซ (เหย้า) ส่วน “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” จะพบกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เหย้า เลื่อนแข่งเนื่องจากพายุกระหน่ำ)เลสเตอร์ ซิตี (เยือน)แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน)เบิร์นลีย์ (เหย้า)เชลซี (เยือน)ลิเวอร์พูล (เหย้า) จากโปรแกรมการแข่งขัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “แมนเชสเตอร์ ซิตี” มีโอกาสทำแต้มหล่น และจะส่งให้ “ลิเวอร์พูล” ขยับเข้าใกล้แชมป์ไปอีกและด้วยฟอร์มการเล่นของ “ลิเวอร์พูล” ผลงานต่าง ๆ ทำให้สาวก “หงส์แดง” ตั้งหน้าตั้งตาคอยนับถอยหลังการคว้าแชมป์ในครั้งนี้ได้เลย และจะนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การคว้าแชมป์ที่เร็วสุด โดยก่อนหน้านี้ มีการทำสถิติคว้าแชมป์เร็วที่สุด คือ ในเดือน เม.ย.ถึง 5 ครั้ง โดยทีม “ปีศาจแดง”แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แชมป์วันที่ 14 เม.ย. ปี 2000/2001 วันที่ 22 เม.ย.ปี 1999/2000 วันที่ 22 เม.ย.ปี2012/2013 “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ได้แชมป์วันที่ 25 เม.ย.ปี 2003/2004และ”สิงโตน้ำเงิน” เชลซี ได้แชมป์วันที่ 30 เม.ย.ปี 2004/2005 หาก “หงส์แดง” ชนะรวดในอีก 6 เกมจากนี้ ก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกหนังแดนผู้ดี โดยจะเป็นการทำสถิติคว้าแชมป์เร็วที่สุด คือ ในเดือน มี.ค.หยุดการรอคอยในช่วง 3 ทศวรรษ นอกจากนี้ “ลิเวอร์พูล” ยังมีโอกาสเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ “กูดิสัน ปาร์ค”คู่รักคู่แค้นด้วยอีกหนึ่งเงื่อนไข ซึ่งพวกเขาต้องเก็บชัยชนะให้ได้ทุกเกมและ ลุ้นให้ “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ทำคะแนนหายอย่างน้อย 3 คะแนน และ “เลสเตอร์ ซิตี” ทำคะแนนหล่นอย่างน้อย 1 คะแนน ซึ่งจะส่งให้ “ลิเวอร์พูล” เป็นแชมป์ในสัปดาห์ที่ 30 นั้นเอง และแน่นอนว่าเหตุการณ์ลื่นเสียแชมป์ที่ “สตีเวน เจอร์ราร์ด” มอบของขวัญให้กับ “เชลซี” ก่อนยื่นตำแหน่งแชมเปียนฤดูกาล 2013/2014 ให้กับ “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ยังคงติดตาสาวก “หงส์แดง” ราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน และเมื่อ 5 ปีผ่านไป “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” คือหนึ่งเดียวจากผู้เล่น “หงส์แดง” ในชุดดังกล่าวภายใต้การคุมทีมของ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในชุดปัจจุบัน การลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ก็จะจบลงไปด้วยก็คงไม่ผิด แต่ความท้าทายที่เหลือของฤดูกาลคือ “หงส์แดง” จะคว้าแชมป์แบบไร้พ่ายได้หรือไม่ และจะคว้าแชมป์ได้เร็วแค่ไหนเท่านั้นเอง