หมายเหตุ : “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และอดีตประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นต่อกรณีการเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป จาก “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี โดยกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ในแง่มุมของกฎหมาย เชิงวิชาการ มีสาระที่น่าสนใจดังนี้
“ผมเชื่อว่า ณ ปัจจุบัน ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไป มุ่งหน้าไป สู่กระบวนการยุติธรรม ในส่วนของกระบวนการยุติธรรม อยากเรียนกว่าทางคุณทักษิณ เองก็เคยได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมมาแล้วทุกๆครั้ง และเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยนั้นมีความถูกต้อง เหมาะสม ยึดหลักตามข้อกฎหมายอย่างชัดเจน”
- อยากให้สะท้อนหรือทำความเข้าใจกรณีหุ้นชิน ฯ
กรณีที่เราจะพูดกันต่อไปนี้ ขอบอกว่าจะพูดกันในเชิงวิชาการ ไม่เกี่ยวข้องกับใคร และไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง กรณีหุ้นชินฯ ความจริงก็ผ่านมานานแล้ว เชื่อว่าสังคมเข้าใจและทราบมาบ้างแล้วว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อใด แต่สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้คือเรื่องของกระบวนการขั้นตอนจากนี้ไป นับจากวันที่ทางกรมสรรพากรได้ทำการนำหนังสือเรียกเก็บภาษีจาก คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปปิดที่หน้าที่จันทร์ส่องหล้า จากนี้ไปทางคุณทักษิณ เองมีสิทธิที่จะขออุทธรณ์ต่อทางคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ กระทรวงการคลัง ว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนั้นถูกต้องหรือไม่ เรื่องนี้ก็มีระยะเวลาภายใน30 วัน และหากในช่วงนี้หากหากทางคุณทักษิณ ไม่ได้อุทธรณ์ ทางกรมสรรพากร เองก็มีสิทธิที่จะทำตามข้อกฎหมายได้ คือสามารถนำทรัพย์สินต่างๆของคุณทักษิณ ยึดมาได้ แต่ผมเชื่อว่าทางคุณทักษิณ สู้แน่นอน
ในเมื่อทางคุณทักษิณ ต่อสู้แน่นอน คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ของกระทรวงการคลัง เองก็ต้องพิจารณาโดยเร็ว แล้วก็ส่งความเห็นคืนกลับมาให้ทางคุณทักษิณ ว่ามีความเห็นอย่างไร ถ้ายังมีความเห็น “ยืน” อยู่ว่ายังคงต้องจัดเก็บ โดยเห็นว่าทางคุณทักษิณเป็นผู้ที่มีรายได้พึงประเมิน จะต้องชำระภาษี ฝ่ายคุณทักษิณเมื่อได้รับแล้ว ก็ยังมีเวลาอีก 30 วันเช่นกันในการที่จะยื่นฟ้องที่ไปศาลภาษีอากรกลาง เพื่อให้ศาลพิพากษาวินิจฉัย ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าคุณทักษิณจะยื่นฟ้องแยกเป็นกรณีไป เพื่อให้ศาลภาษีอากรกลาง คุ้มครองให้ทางกรมสรรพากร เพิกถอนการประเมิน ซึ่งหมายความว่าเรื่องต่างๆจะถือว่าเป็นอันยุติลงไป
แต่เชื่อว่าทางฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคงจะต้องสู้ในทุกเชิง และทุกด้านที่มีอยู่เช่นกัน และตามข้อกฎหมายต่างๆ คงจะต้องเดินไปสิ้นสุดที่ศาล ระยะเวลา 30 วันแรกคุณทักษิณ สามารถอุทธรณ์ไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ไปบวกกับอีก30 วันถ้าในกรณีที่มีคำยืนยันว่ายังยืนอยู่เช่นนั้น ก็เป็น60 วันกรณีที่ไปฟ้องศาลด้วย ผมเชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะไปจบลงที่ศาล เพราะฉะนั้นคงไม่สามารถแตกประเด็นไปที่เรื่องอื่นๆได้ ต้องต่อสู้กันในเชิงกฎหมายต่อไป
ส่วนถ้าถามว่า แล้วจะมีประเด็นไหนที่ต่างฝ่าย จะนำมาใช้ในการต่อสู้ ผมต้องขอบอกว่าเรื่องนี้ต่อสู้ได้ง่ายมาก ทั้งสองฝั่ง คือการให้ชี้ประเด็นเรื่องของข้อกฎหมายก่อน ในคำบรรยายคำฟ้องสมมติว่าทางฝั่งคุณทักษิณ ฟ้องในกรณีที่ทางคณะกรรมการอุทธรณ์ นั้นยืนว่ายังต้องมีการจัดเก็บภาษี ซึ่งถ้าผู้ฟ้องบรรยายว่าศาลชี้ข้อกฎหมายก่อนว่าขาดอายุความแล้วหรือยัง สมมติว่าขาดอายุความไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงเนื้อหารายละเอียดเลย แต่ถ้าสมติว่าดูแล้วยังไม่ขาดอายุความ ก็ต้องไปดูเรื่องเนื้อหากันต่อไป
ซึ่งศาลท่านอาจจะลงเนื้อหากันก่อน แล้วค่อยไปวินิจฉัยเรื่องข้อกฎหมายในระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณาก็ได้ ตลอดเวลา เพราะเป็นอำนาจของศาล ซึ่งไม่มีใครสามารถก้าวล่วงได้ ถึงแม้รัฐบาล จะเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์อยู่ แต่รัฐบาลเองไม่เคยก้าวล่วงอำนาจศาลเลยในทุกแง่มุม และทุกมิติ
ผมเชื่อว่าหากคุณทักษิณ ขอความยุติธรรมกับศาล ผมเชื่อว่าศาลท่านต้องให้แน่ แต่ประเด็นหลักๆที่เราต้องมาดูนั้นมีอยู่ด้วยกัน2-3ข้อ โดยประเด็นที่1 ต้องดูว่าการซื้อขายหุ้นดังกล่าว เป็นการซื้อขายแบบสุจริตหรือไม่ มีนิติกรรมอำพรางหรือไม่ นี่คือประเด็นสำคัญ ประเด็นต่อมาคือต้องดูว่าการซื้อขายหุ้นครั้งนี้เป็นการซื้อขายนอกตลาดหรือในตลาดหุ้น เพราะก่อนหน้านี้ได้มีข่าวที่ชี้ว่า มีบางส่วนที่มีการซื้อขายกันนอกตลาด จากนั้นจึงมาซื้อขายกันในตลาดหุ้น ประเด็นตรงนี้ต้องมาพิจารณากันต่อไป
ประเด็นที่สาม ที่สำคัญที่สุด นั่นคือเมื่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาออกมาเป็นที่ประจักษ์แล้ว ชัดเจนว่าเงิน4.6 หมื่นล้านบาทนั้น ต้องตกเป็นของแผ่นดินไปนั้นเป็นเพราะอะไร ประเด็นตรงนั้นทราบชัดเจนแล้ว แต่เรื่องของการเสียภาษีนั้นเป็นคนละเรื่องกัน จะนำมาผูกกันคงไม่ได้
ดังนั้นประเด็นนี้ต้องชี้แจงให้สังคมได้เข้าใจ ว่าถ้ายังติดขัดเรื่องไหน ยังมีความสับสนในเรื่องใด ขอให้กลับไปอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรง
ตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่คุณทักษิณ ถูกยึดทรัพย์ ในคำวินิจฉัยวันนั้นเขียนเอาไว้ชัดเจน ละเอียดมาก รัดกุมมาก แล้วต่อจากนั้นกรมสรรพากรเองเคยเรียกเก็บภาษี จากทางบุตรของคุณทักษิณทั้งสองคน ต่อมามีการไปฟ้องร้องกันที่ศาลภาษีอากรกลาง และศาลท่านได้ยกและบอกว่า หุ้นดังกล่าวเป็นของทางคุณทักษิณ ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตรงนั้นก็ชัดแล้วว่ากรมสรรพากร เรียกเก็บผิดคน
ศาลท่านไม่ได้บอกว่าให้ยุติการเก็บภาษี แต่ท่านบอกว่า เป็นการเรียกเก็บผิดคน ถ้าเรียกเก็บผิดคนแล้วจะต้องทำอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรมสรรพากรที่จะต้องดำเนินการ ต่อ แต่ณ วันนั้นทางกรมสรรพากร เมื่อศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษามาอย่างนี้แล้ว กรมสรรพากรต้องเอากลับมาทบทวนว่าจะอุทธรณ์ต่อไปหรือไม่ ซึ่งก็ไม่มีการอุทธรณ์ต่อ จากการที่ได้ติดตามจากสื่อ
ในตอนนั้นก็เห็นข่าวว่า คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ไปจัดเก็บกับผู้ที่เสียภาษีตัวจริง ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าสำคัญมาก ว่าทางรัฐบาลในสมัยนั้น มีคุณกรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านครบถ้วนแล้ว ผมเชื่อว่าทางฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งตัวคุณกรณ์ เอง ซึ่งออกมาในทิศทางเดียวกันกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ระบุว่าทรัพย์นั้นเป็นของคุณทักษิณ แต่ถ้าถามว่าแล้วทำไม ตอนนั้นไม่มีการ อุทธรณ์เพื่อทำการเรียกเก็บต่อ ตรงนี้ผมไม่ทราบเหมือนกัน เป็นเรื่องของกระทรวงการคลังแล้ว
แล้วในอดีตที่ผ่านมาจะมีผลต่อในปัจุบันหรือไม่ อันนนี้ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าใครปฏิบัติกันอย่างไร ต้องมีผู้รับผิดชอบกันหรือไม่ หรือมีเรื่องอื่นใดที่ทำให้มีความจำเป็นอย่างไร เรื่องนี้ต้องให้ทางกรมสรรพากรเป็นผู้แจกแจง
ผมเชื่อว่า ณ ปัจจุบัน ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไป มุ่งหน้าไป สู่กระบวนการยุติธรรม ในส่วนของกระบวนการยุติธรรม อยากเรียนกว่าทางคุณทักษิณ เองก็เคยได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมมาแล้วทุกๆครั้ง และเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยนั้นมีความถูกต้อง เหมาะสม ยึดหลักตามข้อกฎหมายอย่างชัดเจน
สมัยก่อนคุณทักษิณ เองก็เคยมีคำพิพากษาลงมาเช่นกันในคดีซุกหุ้น ว่าเป็นความบกพร่องโดยสุจริต ซึ่งประเด็นตรงนั้นคุณทักษิณ ก็ยอมรับ ก็มีหลายฝ่ายและหลายคนที่ไม่เห็นพ้องด้วย แต่ทุกคนก็ยอมรับ เพราะทุกคนเคารพในกระบวนการยุติธรรมของศาล เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่ คุณทักษิณ เองก็เคารพศาลเช่นกัน ในคดีอื่นๆผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่คนเราเมื่อเป็นคดีความก็ต้องมีแพ้บ้าง มีชนะบ้าง ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ว่าเรื่องใด เป็นอย่างใด ก็ขึ้นอยู่ที่ศาลท่านจะพิพากษา
เรื่องคดีหุ้นชิน ก็เช่นเดียวกันผมมั่นใจว่า การต่อสู้ หักล้างกัน มีแน่นอน จากทั้งสองฝ่ายคือคุณทักษิณ เอง และฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ที่จะต้องทำการจัดเก็บภาษี ประเด็นต่างๆคงไปหักล้างกันที่ศาล เพราะผมเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างต้องเดินหน้า และเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุด ถ้าถามว่าทำไม ผมถึงเชื่อเช่นนั้น เพราะทุกอย่างเดินหน้ามาก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องนี้ผมเคยให้สัมภาษณ์สื่อบางสื่อไปแล้วว่า จะต้องไปมีการปิดหมายกันที่หน้าบ้าน คุณทักษิณ แน่นอน ก่อนหน้าเพียงไม่กี่วัน ในที่สุดก็ปิดหมายตามมาเพียงไม่กี่วัน
ผมเชื่อว่า ปัจจุบันการทำงานทุกอย่าง ต้องทำด้วยความรวดเร็ว และไม่ให้เกิดปัญหาคาราคาซังกันต่อไป อีกประเด็นหนึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ผมคิดว่าการต่อสู้ต่างๆนั้นตามปกติต้องมีการทำลายน้ำหนักพยาน ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีการยกแนวทางนี้ขึ้นมาใช้แน่นอน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหน ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่จริงๆการทำลายน้ำหนักพยาน ถือเป็นการต่อสู้กันกระบวนการกฎหมายปกติ แต่ด้วยมีเรื่องบางส่วนเกิดขึ้นในปัจจุบันตามที่เราก็ทราบกันดี ตามหน้าข่าวทั่วไป ว่าได้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของคุณวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ว่ามีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ก็เป็นว่าคนที่คิดทำแบบนี้ซื่อมาก ๆ เรื่องนี้ต้องแก้ปัญหาที่ตัวปัญหา เพราะไม่อย่างนั้นปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข คล้ายๆกับการที่เด็กเอาไม้ไปแหย่ รังแตน
อีกประเด็นหนึ่งก็คือถ้าจะทำแต่ละวิถีทางที่จะทำให้รองนายกฯวิษณุ ท่านพูดออกมานั้น ในเรื่องขั้นตอนข้อกฎหมายในการที่จะใช้สู้คดีนี้ เชื่อว่าท่านไม่พูดแน่นอน ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา และท่านเป็นคนฉลาดมากด้วย เพราะฉะนั้นเชื่อว่ากลยุทธ์ ต่างๆที่จะไปทำให้ท่านไขว้เขว คิดว่าคงไม่มีผล และคิดว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจรองนายกฯวิษณุ ผิดว่าท่านเป็นคู่ชก ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย มันเป็นเรื่องกรมสรรพากรกับบุคคล ซึ่งมีภาระ ว่ามีภาษีพึงประเมินหรือไม่ ซึ่งจะพึงประเมินหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเห็นของกรมสรรพากร ส่วนจะเป็นความเห็นที่ถูกต้องหรือไม่ก็ต้องอยู่ที่ศาล
- คิดว่ากระบวนการในการต่อสู้จะเดินหน้าไปยาวนานแค่ไหน
ประเด็นนี้ต้องแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงละ 30 วัน รวมเป็น 60 วัน ก็เท่ากับ สองเดือน โดยช่วงแรก คุณทักษิณ มีสิทธิ์ขออุทธรณ์ภายใน 30 วัน ไปยังคณะกรรมการอุทธรณ์ กรมสรรพากร นับตั้งแต่วันที่ได้รับการแจ้งใบประเมิน ถ้าครบ30 วันที่คุณทักษิณ ได้อุทธรณ์ไปแล้ว และทางกรมสรรพากรได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะส่งคำพิจารณากลับไปยังคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณ ยังไม่พอใจ ก็สามารถยื่นฟ้องต่อไปที่ศาลภาษีอากรกลาง
และถ้าฝ่ายใด ฝ่ายหนึงยังไม่พอใจ ก็สู้กันไปต่อ สมมติว่า เมื่อศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาออกมาแล้ว ยังไม่พอใจ ก็ไปฟ้องกันต่อที่ศาลฎีกา แผนกคดีภาษีอากร
ดังนั้นถ้าจะมองว่าคดีนี้จะต่อสู้กันไป หลายสิบปีตามที่มีหลายสื่อวิพากษ์วิจารณ์กันหรือไม่ คิดว่าไม่ แน่นอน เพราะศาลทำงานโดยอิสระ ไม่สามารถแทรกแซงได้ นอกจากนี้ยังศาลยังทำงานเร็วมาก ไม่กลัวแรงกดดัน และถ้าเป็นคดีปกติทั่ว พยานคงมีมากมาย ต้องมีการนัดสืบพยานกันหลายปาก ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร ไหนจะต้องมีการนัดพร้อม ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาดูอีกว่าพอใจในพยานหลักฐานดังกล่าวหรือไม่
แต่ตอนนี้หลักฐานต่างๆมีมากแล้ว เวลาศาลท่านจะพิจารณาเชื่อว่าพยานหลักฐานต่างๆค่อนข้างจะครบไปมากพอสมควรแล้ว ยกเว้นฝ่ายโจทก็หรือจำเลยจะมีพยานหลักฐานอื่นใดซึ่งยังไม่ปรากฎ ซึ่งถ้ามีก็จะเพิ่มระยะเวลาไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่ไม่น่าที่จะนาน
ผมคิดว่าคนเราถ้าไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องกลัว ขอให้สู้ไปเถอะ แต่ถ้าผิด ก็น่ากลัว ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว เพราะศาลท่านให้ความยุติธรรมอยู่แล้ว ศาลท่านไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด แต่ศาลท่านเข้าข้างสิ่งที่ถูกต้อง
ที่ผ่านมาคุณทักษิณเองก็เคยได้รับความยุติธรรมาแล้วจากระบวนการยุติธรรมของไทย กรณีบกพร่องโดยสุจริต เพราะฉะนั้นท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าศาลท่าให้ความเป็นธรรม ซึ่งผมคิดว่าท่านก็ไม่น่าที่จะกังวลอะไร
คดีนี้จะนำไปสู่การบานปลายไปสู่ประเด็นความขัดแย้งอย่างอื่นตามมาหรือไม่
ความจริงเรื่องนี้ต้องแยกเป็นส่วนๆ เรื่องความปรองดองกับการชำระภาษีของบุคคลใด บุคคลหนึ่งนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเอาสองเรื่องมาผูกกัน คิดว่าประเทศชาติก็น่าเป็นห่วงมาก ประเทสชาติต้องเดินหน้าต่อไป เราต้องทำให้ประเทศชาติเดินหน้าได้ต่อไป แล้วเดินหน้าไปบนความสุขของทุกคน เพราะฉะนั้นหากจะมีใครยกเรื่องภาษีหุ้นชิน แล้วจะมีใครไปผูกกับเรื่องของความปรองดอง คิดว่ามันคนละเรื่องกัน
กรณีหุ้นชินฯ จะเป็นจุดตายสำหรับคุณทักษิณ หรือไม่
ผมคิดว่าไม่นะ ผมเพิ่งอ่านสิ่งที่คุณทักษิณ เขียนลงเฟชบุค ว่าท่านหยุดแล้วซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าระยะทางไกลพิสูจน์กำลังม้า ระยะเวลาพิสูจน์น้ำใจคน ผมคิดว่าต้องดูกันยาวๆ
- เรื่องของหุ้นชินฯ มีอะไรที่อยากจะให้สังคมเข้าได้เข้าใจหรือไม่ เพราะฝ่ายคุณนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของคุณทักษิณ ได้ออกมาให้ข้อมูล ว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว สังคมก็อาจสับสน
เรื่องนี้ผมเข้าใจถึงการทำงานของคุณนพดล ว่าท่านต้องดูแลเรืองคดีความ แต่ขอให้ต่อสู้คดีความกันไป ตามข้อกฎหมายปกติทั่วไป แล้วที่บอกว่าจะใช้อภินิหารทางกฎหมายกันนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีอภินิหารอะไร แต่กลับมองว่านี่คือการใช้กฎหมายปกติ ถ้าใช้อะไรที่อภินิหาร ก็คงไม่สามารถเดินมาสู่ตรงนี้ได้แน่นอน และเห็นว่าต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยข้อกฎหมายทั้งสิ้น
สยามรัฐ สัปดาหวิจารณ์:ปีที่ 64 ฉบับที่ 30 หน้า18-19