"รองโฆษกรัฐบาล" แจงเหตุหน้ากากอนามัยแพงกว่าองค์การเภสัชกรรม เนื่องจากเอาสต๊อกเก่ามาขายบวกส่งออกตปท. ยัน ไม่ได้หวังผลกำไร มั่นใจสถานการณ์คลี่คลาย เมื่อเวลา 16.25 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ การจำหน่ายหน้ากากอนามัยของทำเนียบรัฐบาลที่มีราคาที่สูง ว่า การจำหน่ายหน้ากากอนามัยชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.)จำหน่ายชิ้นละ 1 บาท เนื่องจากหน้ากากอนามัยที่องค์การเภสัชกรรมนำมาจำหน่ายนั้น เป็นของที่อยู่ในสต๊อกก่อนที่จะเกิดวิกฤติโรคปอดอักเสบไวรัสโคโรนา ซึ่งก่อนหน้านี้ที่องค์การเภสัชกรรมไม่นำออกมาจำหน่ายและเก็บสต๊อกไว้ เพราะต้องการให้เพียงพอกับสถานพยาบาลต่างๆ แต่ในปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมมั่นใจแล้วว่าหน้ากากอนามัยมีเพียงพอและไม่ขาดแคลนจึงนำออกมาจำหน่ายในราคา 1 บาท “คำถามที่ว่าทำไมรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ จึงจำหน่ายในราคาชิ้นละ 2.50 บาท ขอชี้แจงว่าวันนี้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น บวกกับกระทรวงพาณิชย์จะมีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยไปยังร้านค้าธงฟ้า 120,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องรวมค่าขนส่ง ราคาที่จำหน่ายจึงจำเป็นจะต้องเป็นราคามาตรฐานที่จำหน่ายทั่วประเทศ ไม่สามารถขายในกรุงเทพฯ ถูกกว่าต่างจังหวัดได้ ซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว หน้ากากอนามัยจึงอยู่ที่ราคาชิ้นละ 2.50 บาท โดยร้านค้าธงฟ้าจะเริ่มจำหน่ายหน้ากากในวันที่ 8 ก.พ.นี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการบวกเพื่อทำกำไร เพียงแต่ต้องคำนวณราคาให้ครอบคลุมกับต้นทุนในการผลิต” น.ส.รัชดากล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดรัฐบาลจึงไม่แจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนแทนการจำหน่าย น.ส.รัชดา กล่าวว่า วันนี้ความต้องการใช้หน้ากากอนามัยไม่ใช่เพียงแค่คนละ 1 ชิ้น เพราะแต่ละครอบครัวต่างมีความจำเป็นที่ไม่เท่ากัน รัฐบาลจึงไม่สามารถแจกให้ตรงกับความต้องการประชาชนได้และรัฐบาลเองก็อาจไม่ไหว รัฐบาลจึงพยายามให้ประชาชนได้เข้าถึงหน้ากากอนามัยในราคาประหยัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการที่หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ทำให้สามารถควบคุมปริมาณสินค้าในการส่งออกนอกประเทศได้หากเกิน 500 ชิ้น ก็ต้องขออนุญาตกระทรวงพาณิชย์ทำให้ในประเทศมีสินค้าเพียงพอสำหรับในประเทศ ทั้งนี้หากสินค้ามีเพียงจะสามารถกระจายไปยังร้านขายยาปกติได้ ส่วนจะเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อไหร่คงตอบยาก แต่เมื่อความต้องการจากต่างประเทศลดน้อยลง อีกทั้งโรงงานในประเทศจีนสามารถกลับมาเปิดได้ ความจำเป็นในการส่งออกนอกประเทศก็น่าจะลดลง สถานการณ์ก็น่าจะคลี่คลายไปได้ในทิศทางที่ดี ขอให้ทุกคนสบายใจได้