ภาพที่ “138 คนไทย” เดินทางกลับมาถึงบ้านเกิด เมื่อทางการไทยได้ประสานไปยังประเทศจีนเพื่อรับกลับจากเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อค่ำคืนของวันที่ 4 ก.พ. 63 ที่ผ่านมา ณ สนามบินอู่ตะเภา ได้กลายเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงภารกิจที่เสร็จสิ้นของรัฐบาลไทย หลังจากที่คนไทยทั้งประเทศต่างเฝ้ารอและเอาใจช่วย ให้พี่น้องชาวไทย ทั้ง 138 คนกลับเมืองไทยอย่างปลอดภัย ตามกระบวนการขั้นตอนเมื่อคนไทย ทั้ง 138 รายกลับมาแล้ว จะต้องถูกกักตัวเพื่อสังเกตุอาการที่บ้านพักรับรอง ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 14 วัน และสำหรับคนไทยอีก 3 รายที่ยังอยู่ที่เมืองอู่ฮั่นเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตเหตุที่ยังมีไข้สูง โดยทางรัฐบาลไทย จะต้องประสานไปยังรัฐบาลจีนเพื่อติดตามสถานการณ์ต่อไป แน่นอนว่าในห้วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยโดย “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งรัฐมนตรีในทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมถึงกองทัพเอง ต่างมีส่วนร่วมในการร่วมแรงร่วมใจแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา ซึ่งถูกคาดการณ์ว่ามีจุดแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส มาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน กระจายผ่านไปยัง “นักท่องเที่ยวชาวอู่ฮั่น” ที่เดินทางไปท่องเที่ยวตามประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ในระยะแรกเมื่อมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 พบว่าผู้คนต่างอยู่ในความตื่นตระหนก ตกใจยิ่งเมื่อมีรายงานทั้งยอดผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตทั้งจากในประเทศจีนเอง จนต้องมีการชัตดาวน์ รัฐบาลออกคำสั่ง “ปิดเมือง” ยิ่งทำให้ประชาชน ในแทบทุกประเทศต่างวิตก เมื่อประชาชนเกิดความวิตกมากเท่าใด ยิ่งเป็นเสมือนการกดดันไปยังรัฐบาลไทยให้ต้องดำเนินการแก้ไขวิกฤติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอู่ฮั่นโดยด่วน และรอบคอบ รอบด้านมากที่สุด ! ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการทำงานของรัฐบาลจาก ประชาชน ไปจนถึง “ฝ่ายการเมือง” ที่ดังเซ็งแซ่ ต่อเนื่อง ยิ่งทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อาจนิ่งนอนใจ เพราะนี่คือ “โจทย์สำคัญ” ที่รัฐบาลเองจะต้องฝ่าฟันไปให้สำเร็จ มิหนำซ้ำรัฐบาลยังต้องรับมือกับ “เฟคนิวส์” การปั่นข่าวปลอม ผ่านโลกโซเชียล สร้างความแตกตื่น จนหน่วยงานรัฐต้องใช้กฎหมายเข้าไปจัดการ ผ่านกระทรวงดีอีเอส และปอท. ก่อนหน้านี้ฝ่ายรัฐบาลเองไม่เพียงแต่จะต้องทำงานแข่งกับเวลา ไปพร้อมๆกับการรับมือเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายการเมืองเท่านั้น แต่ยังมีการ “เก็งข้อสอบ” กันด้วยว่า ในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกฯ” กับอีก “5 รัฐมนตรี” นั้นฝ่ายค้านอาจจะหยิบยกเอา “ความล้มเหลว” ความผิดพลาดในการแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาลในการรับมือกับไวรัสอู่ฮั่น เข้าไปถล่มกันกลางสภาฯ เพราะจะเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องร้อนที่ฝ่ายค้านใช้ซักฟอกได้ตั้งแต่ “หัวหน้ารัฐบาล” อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ไปจนถึงกระทรวงการต่างประเทศ ,กระทรวงสาธารณสุข แม้จะไม่มีชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อยู่ในญัตติด้วยก็ตาม แต่เมื่อที่สุดแล้วรัฐบาลสามารถพลิกสถานการณ์ จากเดิมที่โดนกระแส กระหน่ำอย่างหนัก ว่าเหตุใดประเทศจีนจึงไม่ยอมให้ไฟเขียวประเทศไทย ส่งเครื่องบินเข้าไปรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่น เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น แต่แล้วเมื่อล่าสุดเวลานี้ “ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์” ที่นำคนไทยกลับบ้าน กรณีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้แถลงทุกความคืบหน้าเพื่อให้คนไทย ได้คลายความวิตกกังวล รวมทั้งยังต้องการหยุดยั้งการเผยแพร่ “เฟคนิวส์” ไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังกลายเป็นว่าจากวิกฤติไวรัสอู่ฮั่น ยังทำให้ “ความสัมพันธ์”ระหว่างไทยกับจีนยิ่งแน่นแฟ้น ทั้งรัฐบาลและการสาธารณสุข การแพทย์ของไทย ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ป่วย ได้รับการรักษาจากแพทย์ไทยจนอาการดีขึ้น สามารถกลับบ้านได้ ทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีนเองรวมทั้ง คนขับรถแท็กซี่ชาวไทย ที่พร้อมเปิดตัวกับสื่อเพื่อขอบคุณและตอกย้ำถึงความสำเร็จ ในการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ !