คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย สัปดาห์นี้มีประเด็นร้อนหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแข่งขันขั้นต้นที่รัฐไอโอวา เรื่องการกล่าวสุนทรพจน์ในสภาคองเกรสของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และเรื่องการถอดถอนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับการแข่งขันขั้นต้นที่รัฐไอโอวาของพรรคเดโมแครตนั้น ปรากฎว่าเกิดความสับสนอลหม่านวุ่นวายเกี่ยวกับการนับคะแนน แต่ท้ายที่สุดแม้ว่าการนับคะแนนจะไม่แล้วเสร็จก็ตาม แต่ก็ได้มีการออกมาเปิดเผยว่า 62% ของคะแนนทั้งหมดมี นักการเมืองหน้าใหม่ได้รับคะแนนมาอันดับหนึ่งอย่างเข็มขัดสั้นคาดไม่ถึง!!! นักการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงผู้นี้ก็คือ “พีท บูติเจิจ” วัย 38 ปี อดีตนายกเทศมนตรีเซาท์เบนด์ รัฐอินดีแอนา ซึ่งเมืองเซาท์เบนด์มีประชากรเพียง 125,000 คน อนึ่งผลของการนับคะแนนใน 62% แรกมีดังนี้ • บูติเจิจ ได้รับ 26.9% • แซนเดอร์ส 25.1% • วอร์เรน 18.3% • ไบเดน 15.6% สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่สุดก็คือ เพราะเหตุใด บูติเจิจ จึงสามารถเอาชนะนักการเมืองวัยเก๋ารุ่นลายครามหลายคนไม่ว่าจะเป็น “อดีตรองประธานาธิบดีสองสมัยโจ ไบเดน” “วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส” และ “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน” ทันทีที่พีท บูติเจิจได้รับชัยชนะ ชื่อของเขาได้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก ทั้งๆที่เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก อนึ่งจากการหยั่งเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีกลายได้ระบุว่า พีท บูติเจิจ อยู่ในอันดับที่ 4 โดยมี วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน และวุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส มีคะแนนนำหน้าเขาอยู่หลายขุม!!! และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่าเมื่อสองเดือนก่อนคะแนนนิยมของบูติเจิจจากกลุ่มคนผิวสีมีไม่ถึง 1% แต่ชัยชนะอันดับหนึ่งที่เกิดขึ้นในรัฐไอโอวา มีผลทำให้นักการเมืองหน้าใหม่ผู้นี้ได้กลายเป็นที่กล่าวขวัญดังเกรียวกราวขึ้นมาทันที เหมือนดั่งสมัยของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี จิมมี คาร์เตอร์ บิล คลินตัน และ บารัก โอบามา คราวนี้ลองหันมาดูชีวประวัติของ “พีท บูติเจจ” กันพอสังเขป ในการเรียนระดับมัธยมศึกษาของ พีท บูติเจิจ เขาเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนเก่งที่สุดของรุ่น โดยเขาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากฮาร์วาร์ด เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ด้านวรรณคดีและประวัติศาสตร์ และเขาได้ไปศึกษาต่อที่ออกซฟอร์ด โดยได้รับทุน Rhode Scholar เมื่อจบการศึกษาแล้วเขาก็ได้เข้าไปทำงานที่ “บริษัทแมคคินซีย์”สามปีด้วยกัน อีกทั้งเขายังมีประสบการณ์ด้านการทหารที่นักการเมืองทั่วไปพยายามจะหลีกเลี่ยง โดยเขาเป็นอดีตนายทหารนาวิกโยธินยศร้อยโท ระหว่างปี 2009-2017 และเขายังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ณ เมืองเซาท์เบนด์ ถึง8 ปีด้วยกัน ตั้งแต่ปี 2012-2020 ทั้งนี้หากว่า พีท บูติเจิจ สามารถเอาชนะการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์นี้ไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน รัฐนิวแฮมป์เชียร์ รัฐเนวาดา และรัฐเซาท์แคโรไลนา เขาก็อาจจะกลายเป็นม้ามืดเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคก็เป็นไปได้ไม่ยากนัก สำหรับในวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านมานี้ ถือเป็นโอกาสอำนวยให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส ที่มีเวลานานถึง 1 ชั่วโมง 18 นาที แต่ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ เขาก็ได้เดินไปจับมือกับ “รองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์” ที่นั่งอยู่บนแท่น โดยไม่สนใจไยดีต่อ “ประธานสภาฯแนนซี เพโลซี” ที่เธออุตส่าห์ยื่นมือออกมา เพื่อต้องการที่จะจับมือแสดงสปิริตความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา แต่เมื่อเป็นเยี่ยงนั้นจึงมีผลทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด!!! การกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เขาจะมุ่งเน้นคุยโวจริงบ้างไม่จริงบ้างถึงความสำเร็จด้านการบริหารประเทศของเขาในช่วงระยะสามปีที่ผ่านมา โดยได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวแทบทุกๆประโยคจากนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันเดียวกันกับเขา!!! ในขณะที่นักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันกำลังส่งเสียงเชียร์กันอยู่นั้น กลับปรากฏว่าประธานสภาฯแนนซี เพโลซี รวมไปถึงนักการเมืองของค่ายพรรคเดโมแครตต่างพากันนั่งเงียบเมินเฉยมิได้สนใจไยดีแต่อย่างใด และยังเป็นที่น่าสนใจอีกด้วยเช่นกันว่าประธานาธิบดีทรัมป์มิได้หยิบยกถึงกรณีการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งมาพูดเลยแม้แต่น้อย ส่วนกรณีเรื่องการถอดถอนนั้นประธานาธิบดีทรัมป์สามารถหลุดพ้นจากข้อหาได้ทั้งสองกระทงทั้งนี้สืบเนื่องมาจากวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันผนึกพลังร่วมด้วยช่วยกันอย่างเหนียวแน่น หากวิเคราะห์ในเชิงลึกแล้ว จะเห็นได้ว่ากระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่งนั้น นับเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพรรคเดโมแครต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่พรรคเดโมแครตไม่สามารถจะผ่านญัตติในวุฒิสภา เรื่องของความต้องการที่จะเพิ่มพยานให้ปากคำในการไต่สวน อย่างไรก็ตามจากการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล เมื่อวันที่ 28 มกราคมนี้ ว่า แท้จริงแล้ว “วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์” ผู้นำวุฒิสมาชิก ซึ่งสังกัดอยู่ในพรรครีพับลิกัน ขณะนั้นเขาได้เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเสียงเพียงพอที่จะใช้ในการล้มญัตติเรื่องการขอพยานเพิ่มเติม” แต่กลับปรากฏว่าเขาใช้กลยุทธ์ปรับเปลี่ยนวิธีเสียใหม่ โดยหันไปกล่าวโจมตีใส่ความดิสเครดิต“จอห์น โบลตัน” อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงฯของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เขาผู้นี้มีข้อมูลที่เก็บงำซ่อนเอาไว้ในพุงอย่างมากมายในทางเสียๆหายๆว่า “แม้ จอห์น โบลตันจะเข้ามาเป็นพยาน แต่ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” อย่างไรก็ตามจะเห็นได้อย่างเด่นชัดเลยว่าทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และคณะทนายความด้านกฎหมายของเขาต่างงัดเอาจิตวิทยามาใช้เป็นวิชามาร จนทำให้ผู้ฟังเกิดอาการลังเล ไม่เชื่อถือเนื้อหาสาระในหนังสือที่เขียนโดย “จอห์น โบลตัน” ที่จะตีพิมพ์ออกจำหน่ายในวันที่ 17 มีนาคมนี้ กล่าวโดยสรุปขณะนี้ปรอททางการเมืองของสหรัฐฯที่กำลังห้ำหั่นกันระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตร้อนระอุพุ่งสูงปรี๊ดไม่มีใครยอมใคร และถึงแม้ว่าพรรคโดโมแครตจะไม่สามารถฝ่าฟันวิกฤติในครั้งนี้ได้สำเร็จก็ตามที แต่เรื่องที่ใครจะเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตได้นั้น “พีท บูติเจิจ” ที่ขณะนี้กำลังเป็นน้องใหม่ดาวรุ่งทางการเมือง ซึ่งอาจจะมีผลทำให้เขากลายเป็นม้ามืดฝีเท้าไวมาแรงแซงทางโค้งเข้าไปชิงชัย ส่วนใครจะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในอีกเก้าเดือนข้างหน้านั้น ขึ้นอยู่กับอเมริกันชนจะเป็นผู้ตัดสินละครับ