ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ครอบครัวย่าจันทร์อพยพมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด
ย่าเล่าให้ผมฟังว่า บ้านเดิมของย่าอยู่ที่ตำบลบ่อพันขัน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นชุมชนโบราณ มีช่วงหนึ่งที่เกิดภัยแล้งอยู่หลายปี ตอนนั้นย่าโตเป็นสาวแล้ว หลายๆ ครอบครัวได้หนีภัยแล้งมาทางตะวันตก เดินทางมาหลายวันก็มาพบหนองน้ำใหญ่ รอบๆ เป็นป่าโปร่งกว้างไกล จึงตกลงตั้งหลักปักฐานที่ตรงนี้ แล้วเรียกชื่อว่า “บ้านหนองม่วง” ตามพื้นที่ที่มีต้นมะม่วงอยู่เป็นจำนวนมาก ปีแรกๆ ก็มีประมาณ 10 กว่าครัวเรือน แต่ปีต่อๆ มาก็มีคนอพยพมาสมทบอีก หลายครอบครัวได้แต่งงานกัน เช่นเดียวกันกับย่าที่ได้แต่งกับปู่ชาลี และมีลูก 7 คน ชาย 4 หญิง 3 คือลุงพาเป็นคนโต พ่อของผมเป็นคนที่สอง คนที่สามคืออาทันเป็นผู้หญิง คนที่สี่คืออาสุขเป็นผู้ชาย คนที่ห้าคืออาสุวรรณเป็นผู้หญิง คนที่หกคืออาสุวงศ์เป็นผู้ชาย และอาแดงเป็นลูกสาวคนสุดท้อง
ตระกูลของปู่เป็นกลุ่มที่นำผู้คนมาอยู่ที่นี่ ปู่มากพี่ชายคนโตจึงได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน โดยได้วางผังหมู่บ้านอย่างเป็นระเบียบ มีหนองน้ำใหญ่เป็นศูนย์กลางอยู่ทางทิศเหนือ ตัวหมู่บ้านทอดขนานกับหนองน้ำจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก มีถนนล้อมรอบทั้งสี่ทิศ และมีถนนกลางหมู่บ้านยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ทอดจากตะวันออกไปตะวันตกเช่นกัน ทั้งหมดนั้นเป็นถนนดินทราย มีการแบ่งพื้นที่เป็นกลุ่มๆ ด้วยถนนซอยยาวประมาณด้านละ 100 เมตร แยกออกจากถนนสายกลางไปทางทิศเหนือและใต้ เป็นตารางสี่เหลี่ยมเท่าๆ กัน มีทั้งหมด 6 ซอย ห่างกันซอยละ 100 เมตร แบ่งพื้นที่เหนือใต้เป็นด้านละ 7 กลุ่มเท่าๆ กัน รวม 14 กลุ่มๆ หนึ่งมีเนื้อที่ 8 ไร่ แบ่งให้อยู่กันครอบครัวละ 1 ไร่ ซึ่งบางพื้นที่ก็ยังว่างอยู่ แต่บางพื้นที่เช่นที่บ้านของย่าก็ค่อนข้างแออัดเนื่องจากมีลูกมากดังกล่าว และต้องอยู่ร่วมกันถึง 3 ครอบครัวในพื้นที่ 1 ไร่นั้น
ปู่และย่ามีที่นาประมาณ 50 ไร่ที่ได้ถากถางบุกเบิกมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ถ้าจะแบ่งให้ลูกๆ ทุกคนแล้วก็คงจะได้ไม่ถึงคนละสิบไร่ ลุงพาจึงอยากจะไปหาที่ทำกินใหม่ ซึ่งได้ยินมาว่าอาจจะไปอยู่แถวๆ อำเภอสูงเนิน เป็นที่บุกเบิกใหม่ใกล้เขื่อนสร้างใหม่คือเขื่อนลำพระเพลิง ส่วนอาทันได้แต่งงานไปอยู่ต่างหมู่บ้าน ก็ต้องไปช่วยครอบครัวทางโน้นทำกิน เช่นเดียวกันกับอาสุขที่ไปได้เมียอยู่จังหวัดบุรีรัมย์ สำหรับพ่อผมเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯมาตั้งแต่สึกออกมาใหม่ๆ และกำลังจะชวนอาสุวงศ์ไปทำงานด้วยกัน ดังนั้นที่บ้านหนองม่วงก็จะเหลือเพียงอาสุวรรณกับอาแดง ซึ่งคนในหมู่บ้านที่ชอบค่อนขอดก็จะบอกว่า บ้านของปู่กับย่านี้กำลัง “บ้านแตกสาแหรกขาด” แต่พ่อผมได้พูดปลอบใจพี่ๆ น้องๆ ว่า “พวกเรากำลังสร้างเนื้อสร้างตัว”
ย่าบอกว่าพ่อเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง และชอบวิชาคิดเลข จบแค่ประถม 4 แรกๆ พอบวชเรียนสึกออกมาแล้วก็บอกย่าว่าจะไปหางานทำที่กรุงเทพฯ พ่อไปทำงานขนสินค้าที่เยาวราช ต่อมาเถ้าแก่ให้ช่วยทำบัญชีตรวจสต๊อกสินค้า ที่พ่อเรียกว่า “งานเสมียน” อีกสามปีต่อมาก็กลับมาบอกย่าว่าได้เมียแล้ว กำลังตั้งท้อง จะขอเอามาฝากไว้กับปู่และย่าสักพัก เพราะมีปัญหากับผู้ปกครองของแม่ที่กรุงเทพฯ แต่อยู่ได้ไม่นานทางผู้ปกครองที่กรุงเทพฯก็ได้โทรเลขมาเรียกแม่กลับไปคลอดที่กรุงเทพฯ ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือตัวผมนี่เอง
เรื่องความรักของพ่อแม่ของผมค่อนข้างจะเป็น “โศกนาฏกรรม” พอสมควร แม่เป็นชาวชนบทเช่นกัน อยู่หมู่บ้านนอกเมืองขอนแก่นไปสักสิบกว่ากิโลเมตร พอจบชั้นประถม 4 น้องชายของยายที่ผมเรียกว่า “ตาน้อย” นั้นได้รับไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ กะว่าจะให้เรียนต่อ แต่ก็ไม่ได้เรียน ได้แต่ช่วยดูแลบ้านและเลี้ยงน้อง ซึ่งก็คือลูกๆ ของตาน้อย ตาน้อยนั้นเป็นตำรวจยศนายสิบ อาศัยอยู่บ้านอาคารสงเคราะห์ที่ห้วยขวาง มีลูก 4 คน จนกระทั่งเป็นแม่โตเป็นสาว ในเวลาว่างได้ไปช่วยญาติๆ ขายไก่ย่างส้มตำ แถวถนนตก ยานนาวา จึงได้เจอพ่อที่มารับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ที่นั่น พ่อได้ตามจีบแม่อยู่หลายเดือน โดยมาดักพบถึงบ้านที่ห้วยขวาง แต่ตาน้อยไม่ชอบพ่อ เพราะเห็นว่าไม่ได้มีฐานะอะไรนัก แต่เมื่อพ่อตื๊อมากๆ ตาน้อยก็ยื่นข้อเสนอให้พ่อไปเรียนและสอบเทียบให้ได้ชั้น ม.3 แล้วจะฝากเข้าเป็นพลตำรวจ แล้วจึงจะให้แต่งงานอยู่กินกัน ซึ่งพ่อก็คงเห็นว่านั่นคือการประวิงเวลาหรือห้ามไม่ให้ได้แต่งกับแม่นั่นเอง จึงพาแม่หนีมาอยู่บ้านหนองม่วงตอนที่แม่ท้องแล้วนั้น แต่ตาน้อยก็โทรเลขมาเรียกตัวแม่กลับ และคงจะข่มขู่พ่ออยู่ไม่น้อย พ่อจึงต้องยอม
พอผมคลอดแล้ว พ่อก็ยังแอบนัดเจอกับแม่อยู่ จนตั้งท้องอีก แม่ก็บอกตาน้อยว่าอยากกลับไปอยู่ที่ขอนแก่น โดยเอาผมมาด้วย ตาน้อยก็อนุญาต น้องชายผมจึงได้มาคลอดที่ขอนแก่น จนน้องมีอายุได้ 2 ขวบเศษ ซึ่งตอนนั้นผมก็ย่างเข้า 5 ขวบ ตาน้อยก็ขอให้แม่กลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยอ้างว่าผมจะได้เข้าโรงเรียนดีๆ และผมก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแถวถนนดินแดง แต่เรียนชั้นเตรียมประถมได้เพียงปีเดียว พ่อก็แอบมา “ลัก” ผมกลับไปอยู่ที่บ้านหนองม่วง (ดังที่กล่าวมาในตอนแรกนั้น) แม่เล่าให้ผมฟังว่าตาน้อยโกรธมาก ห้ามแม่ให้เลิกกับพ่ออย่างเด็ดขาด (จนเวลาผ่านถึง 4 ปี แม่จึงแอบมาลักผมกลับไปอยู่กรุงเทพฯ อีกครั้ง)
ย่าจันทร์มักจะพูดกับผมเสมอๆ ว่า “เอ็งเป็นคนมีกรรม มีพ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และปล่อยให้ต้องมาตกระกำลำบากที่บ้านนอก อย่าว่าพ่อแม่เลยนะลูก มันจะเป็นบาปเป็นเวร ถึงอย่างไรเขาก็ทำให้เอ็งเกิดมาอาการครบ 32 อย่างนี้”
ย่าจันทร์เลี้ยงผมเป็นอย่างดีที่สุด แบบที่ว่าดีกว่าที่แกเลี้ยงลูกๆ ของแกเองทุกคน จนลุงและอาๆ ออกปากว่า “เลี้ยงเหมือนมันเป็นลูกเทวดา” ซึ่งย่าก็ได้แต่ออกตัวว่า “ก็มันน่าสงสาร พ่อแม่ก็ไม่รู้อยู่ไหน ฉันนี่แหละจะเป็นแม่มันเอง เพียงแต่เขาเอามาฝากเลี้ยง ก็ต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด ไม่ให้พ่อแม่มันมาว่าเอาได้”