ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับ การแถลงนโยบายประจำปี ควบคู่ไปการแสดงผลงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน (State of the Union)” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งมีขึ้นเมื่อช่วงค่ำของกลางสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา ณ อาคารรัฐสภา หรือสภาคองเกรส ของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของประเทศ โดย “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน” ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหมดวาระสมัยแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายทรัมป์ ซึ่งถ้าหากผู้นำฝีปากกล้าจอมสร้างสีสันรายนี้ อยากมีโอกาสได้กล่าว “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน” ในอีกตลอด 4 ปีถัดไป เขาก็ต้องรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาว เอาไว้ให้ได้ ด้วยการคว้าชัยเหนือผู้สมัครคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 พ.ย.ปลายปีนี้ เนื้อหาที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวแถลง ก็มีหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ที่ถือเป็นผลงานการบริหารโดยรัฐบาลของเขาจนทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลับมามีความเข้มแข็ง การลดพึ่งพาด้านพลังงานจากต่างชาติ และอัตราการว่างงานที่ลดลง รวมถึงบริษัทต่างๆ กลับมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ อีกครั้ง ด้านการค้า ที่เขาประสบความสำเร็จ ในการทำข้อตกลงการค้าที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายฉบับใหม่ กับจีนแผ่นดินใหญ่ แคนาดา และเม็กซิโก ด้านความมั่นคง และการทหาร ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุถึง การจัดกองทัพอวกาศ ให้เป็นกองทัพใหม่ คือ กองทัพที่ 6 ของประเทศ และพูดถึงผลงานการปราบปรามขบวนการก่อการร้ายกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ซึ่งสามารถสังหารนายอาบู บักร์ อัล บักห์ดาดี ผู้นำกลุ่มไอเอสเป็นผลสำเร็จ ตลอดจนการสังหารนายพลคัสเซ็ม สุไลมานี ผบ.หน่วยรบพิเศษคุดส์ของอิหร่าน ที่เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา การกดดันต่ออิหร่านจากกรณีโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงการกล่วยกย่องการเจรจาที่จะนำไปสู่สันติภาพอัฟกานิสถาน เพื่อยุติสงครามที่ดำเนินมายาวนาน ด้านสังคม และสาธารณสุข ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวถึงเสรีภาพการนับถือศาสนาในสหรัฐฯ การคุ้มครองสุขภาพ การปรับปรุงด้านประกันสังคม การแก้ปัญหายาราคาแพง ซึ่งเขาระบุว่า สำคัญยิ่งกว่าการปฏิรูประบบประกันสุขภาพที่ผ่านมาเสียอีก นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพเข้าเมือง ที่เขาหยิบยกเรื่องการสร้างกำแพงตามแนวชายแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก การส่งตัวผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศ ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุถึงความร่วมมือกับจีนแผ่นดินใหญ่ ในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไวรัสอู่ฮั่น ซึ่งกำลังเขย่าโลกในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อว่าถึง “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน” ที่เพิ่งผ่านไปข้างต้นนั้น ก็ต้องนับว่า เป็นการแถลงฯ ที่มีเหตุการณ์ชุลมุน อลเวง บังเกิดขึ้นแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เริ่มจากที่ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เอง ก็ถือเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ ที่ขึ้นกล่าวแถลงฯ ในขณะที่เขายังอยู่ในกระบวนการพิจารณาไต่สวนถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี หรือที่เรียกว่า “อิมพีชเมนต์ (Impeachment)” ขณะที่ ในระหว่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวแถลงฯ ก็มีเหตุการณ์ที่สมาชิกรัฐสภาของพรรคเดโมแครต กล่าวตะโกนแทรกขึ้นมา รวมไปจนถึงการตบเท้าเดินออกจากห้องประชุม นอกจากนี้ ที่นับว่าเป็นฉากดราม่าสะท้านโลก ก็ได้แก่ ฉากเหตุการณ์ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ยอมจับมือกับนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร แกนนำพรรคเดโมแครต เช่นเดียวกับ นางเพโลซี ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เมื่อเธอฉีกสำเนาคำแถลงฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี โดยภาพที่ปรากฏ ก็ต้องบอกว่า ไม่เคยได้เห็น เพราะไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะชุลมุน อลเวง เช่นนี้มาก่อน และก็ส่งผลให้ภาพของฉาก “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่งดงามสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ดี เมื่อว่าถึงกระแสเสียงของประชาชีอเมริกันชน ปรากฏว่า พลิกความคาดหมายของใครหลายๆคนมิใช่น้อย เพราะจากการสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ ของชาวอเมริกันที่มีต่อ “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน 2020” หนนี้ ได้มีผู้ชื่นชอบต่อประธานาธิบดีทรัมป์ไม่น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่างในการสำรวจโพลล์ของสำนักข่าวซีบีเอสที่ร่วมมือกับยูกอฟ ก็ปรากฏว่า มีประชาชนชาวอเมริกัน นิยมชมชอบถึงร้อยละ 76 เลยทีเดียว ขณะที่ กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ปลื้ม ปรากฏว่า มีเพียงร้อยละ 24 เท่านั้น