ท่ามกลางสถานการณ์ของโรคระบาดจากปอดอักเสบติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่พบผู้ป่วยกระจายไปในหลายประเทศ และประเทศไทยก็ยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง เพจ “เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว” ซึ่งเป็นเพจวิทยาศาสตร์ของเสื้อผ้า อาหาร และสารพัดสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน โพสต์เฟซบุ๊กระบุ กลอนประตู หรือที่จับประตู สามารถที่จะเป็นแหล่งกระจายเชื้อโรคติดต่อกันได้ในสถานที่สาธารณะต่างๆ ด้วยต้องใช้มือจับเปิดปิดประตูกัน โดยที่เชื้อโรคบางชนิดนั้นสามารถมีชีวิตบนกลอนหรือที่จับประตูนั้นๆ ได้นานกว่า 30 วันเลยทีเดียว รวมทั้งการรณรงค์ล้างมือทั้งล้างด้วยน้ำ ล้างด้วยแอลกอฮอล์เจล ยังทำให้เกิดโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้อยู่ เพราะแต่ละคนไม่ได้ล้างมืออย่างถูกต้อง หรืออาจเผลอใช้มือป้องปากขณะไอจามและเชื้อโรคติดมือแพร่กระจายไปสู่คนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ พบว่ากลอนประตูหรือที่จับประตูที่ทำจากทองเหลืองหรือโลหะที่มีทองแดงเป็นส่วนประกอบ เช่น ทองแดง ทองเหลือง หรือโลหะสำริด สามารถช่วยลดการติดต่อของโรคติดต่อได้ เนื่องจากตัว “โลหะทองแดง” สามารถที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้หลายชนิด เนื่องจากผิวของอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะผสมทองแดงนี้ จะเกิดเป็นชั้นออกไซด์บางๆ ที่สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น E. coli O157:H7, methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA), Staphylococcus, Clostridium difficile, เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (influenza A virus), adenovirus, และเชื้อรา (fungi) เป็นต้น มีผลการศึกษาว่า “กลอนประตูและที่จับประตูที่ทำจากโลหะผสมทองแดงที่ประตูหน้าห้องไอซียู” (intensive care units) ในโรงพยาบาลนั้นสามารถที่จะ “ลด” จำนวนคนไข้ติดเชื้อได้ถึง 58% เมื่อเปรียบเทียบกับโลหะสเตนเลสกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในสถานพยาบาลอีกหลายแห่ง ก็ยังพบว่าอุปกรณ์ต่างๆที่ทำจากโลหะผสมทองแดง สามารถที่จะลดอัตราการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน และเป็นการลงทุนครั้งเดียวแต่ได้ผลที่ยาวนานมากด้วย ดังนั้น จึงพบว่าสถานพยาบาลหลายๆแห่งนั้นก็มีการเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้เป็นโลหะผสมของทองแดงเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรคด้วย ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ ตามบ้านและสถานที่ทำงาน เปลี่ยนกลอนประตู ที่จับประตู และอุปกรณ์โลหะอื่นๆ ที่เป็นจุดกระจายเชื้อโรค ให้เป็นทองเหลือง ทองแดง โลหะสำริด แม้ราคาสูงกว่าสแตนเลส แต่สามารถลดการแพร่กระจายเชื้อโรคได้อีกทาง และเป็นมาตรการช่วยเหลือตัวเองอีกขั้น