NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เพื่อออกและเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ชูจุดแข็งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำของอาเซียน ก่อนต่อยอดสู่การผลิตอาหารโปรตีนจากพืชและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รับเทรนด์ผู้บริโภคในอนาคต พร้อมแต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตอาหารมามากกว่า 20 ปี โดยปัจจุบันเป็นผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนทางเลือก และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ มีเป้าหมายสร้างการเติบโตผ่านการนำเสนอนวัตกรรมความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูงและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคัดสรรวัตถุดิบที่สด สะอาด ปลอดภัย และมีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตอาหารแบบครบวงจรระดับโลก ทั้งนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดการ Sustainable Supply Chain ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ ผลิต จัดเก็บ ขนส่งและจัดจำหน่ายให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในทุกฝ่ายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตลอดจนสนับสนุนอาชีพให้กับเกษตรกรท้องถิ่นโดยเข้าไปพัฒนาให้มีการทำฟาร์มที่ทันสมัยและได้ผลผลิตที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก สามารถส่งออกสินค้าผ่านพันธมิตรทางธุรกิจไปยังกว่า 25 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ และในทวีปยุโรปที่เข้มงวดกับคุณภาพสินค้า และจัดจำหน่ายให้แก่ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างค้าปลีกและค้าส่งชั้นนำระดับโลก โดยบริษัทมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 500 สูตรอาหาร รวมทั้งสิ้นมากกว่า 2,000 SKU โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ จำนวน 6 แบรนด์ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงต้มยำและเครื่องปรุงแกง ภายใต้แบรนด์ ‘พ่อขวัญ’ เครื่องปรุงอาหารที่เน้นรสชาติแบบเอเชียแบรนด์ ‘Lee Brand’ อาหารสำเร็จรูปแบรนด์ ‘Thai Delight’ เครื่องปรุงรสอาหารและซุปกึ่งสำเร็จรูป แบรนด์ ‘Shanggie’ เครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ แบรนด์ ‘DeDe’ และพริกในรูปแบบขนมขบเคี้ยวแบรนด์ ‘Sabzu’ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (OEM และ Private Brand)ได้แก่ เครื่องปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุง (Ready-to-cook) อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (Ready-to-eat) อาหารมังสวิรัติและเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ โดยมีทีมวิจัยและพัฒนาที่สั่งสมประสบการณ์ในการพัฒนารสชาติและบรรจุภัณฑ์ใหม่ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละรายภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-Based Food) โดยนำโปรตีนจากพืชมาผลิตอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารมังสวิรัติ ให้มีรสชาติ รสสัมผัส กลิ่น ใกล้เคียงเนื้อสัตว์ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณประโยชน์และอาหารที่ดีต่อสุขภาพ “เราตั้งเป้าหมายในการเป็น The Purpose-Led Company หรือบริษัทที่ขับเคลื่อนองค์กรและแบรนด์ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อทำให้บริษัทเป็นตัวเลือกรายแรกๆ ในการผลิตสินค้าให้กับบริษัทอาหาร(สำเร็จรูป)ชั้นนำระดับโลก และมุ่งเน้นที่จะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการใช้จุดเด่นในการเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลงโลกในทางที่ดีขึ้น (Better for me and better for the planet) เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในยุค Millennial (Gen Me) สร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยวางกลยุทธ์มุ่งเน้นเจาะตลาดอาหารกลุ่ม Specialty Food หรืออาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมไปทั่วโลกและมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงเช่น อาหารไทยและอาหารท้องถิ่นในเอเชีย (Ethnic Oriental Food) อาหารโปรตีนจากพืช และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Food)” ทั้งนี้จากเป้าหมายดังกล่าว บริษัทฯ จึงขยายธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-Based Food) ที่มีจุดเด่นจากการนำโปรตีนจากพืชมาใช้ทดแทนเนื้อสัตว์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชที่มีการเติบโตสูง โดย NRF เข้าทำสัญญาร่วมลงทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ “เบรคส์” หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในทวีปยุโรปมายาวนานกว่า 27 ปี และมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้ ทำให้ NRF ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้รับจ้างผลิตอาหารรายใหญ่ระดับโลกในการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าวในอนาคต นอกจากนั้น NRF ยังได้มีการเข้าลงทุนและร่วมมือกับบริษัทหลายแห่ง เพื่อส่งเสริมจุดมุ่งหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอาหารกลุ่ม Specialty Food ชั้นนำของโลกได้แก่ 1.เข้าลงทุนใน The Meatless Farm Limited หรือ Meatless Farm ในประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าในทวีปยุโรป อเมริกาและเอเชีย 2.เข้าลงทุนใน Big Idea Venture LLC หรือ Big Idea Venture ซึ่งป็น Venture Capital Fund (กองทุนร่วมลงทุน) เพื่อนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยตั้งเป้าลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ 100 บริษัทภายใน 2-3 ปี และ 3.ลงทุนกับบริษัทซิตี้ฟู้ด จำกัด ในจังหวัดนครปฐมและราชบุรี ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูป เพื่อเป็นฐานการผลิตแก่บริษัทฯ “Specialty Food Association ของประเทศสหรัฐอเมริกาคาดการณ์ว่าเทรนด์ตลาด Specialty Food ของโลก กำลังเติบโตอย่างมาก โดยอาหาร Specialty Food เป็นอาหารที่มีความพิเศษเฉพาะตัวเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเกรดสูงและคุณภาพดีเยี่ยมและมีรูปลักษณ์เป็นเลิศกว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารทั่วไป ในปี 2561 ที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 4.5 ล้านล้านบาท เติบโตจากมูลค่า 4.0 ล้านล้านบาทในปี 2560 เป็นอัตราร้อยละ 12.5 และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 5-6 ต่อปี จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพและอาหารแช่แข็งคุณภาพสูง” ขณะที่ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่ NRF กำลังขยายธุรกิจและเป็น World mega trend กำลังเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ อังกฤษและทวีปยุโรปตามเทรนด์รักสุขภาพและการเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนั้น Specialty Food Association คาดว่าในปี 2568 ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือจะมีมูลค่าตลาดโปรตีนจากพืช 2,400 ล้านยูโร และ 1,800 ล้านยูโรตามลำดับ น.ส.วีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยปัจจุบัน NRF มีทุนจดทะเบียน 1,355,780,300 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,355,780,300 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 1,065,780,300 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1,065,780,300 หุ้น โดยในการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในครั้งนี้จะเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 340,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.08 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการลงทุนโครงการในอนาคต ชำระเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท