กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเตือนประชาชนห้ามขาย หรือสมยอมให้เอาชื่อไปใช้ โดยไม่ได้ทำธุรกิจจริง ก่อนเซ็นชื่อในเอกสารทุกครั้งต้องตรวจสอบให้ดี ป้องกันการถูกหลอกลวง ระบุผิดกฎหมาย โทษหนักทั้งจำ-ปรับ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนถูกแอบอ้างชื่อ เพื่อนำมาใช้จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและการถูกโยงเข้ามาเป็นกรรมการบริษัททั้งที่เจ้าของชื่อไม่ทราบมาก่อนนั้น โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้พบพฤติกรรมที่ไม่สุจริตของคน 2 กลุ่มคือ กลุ่มบุคคลที่ต้องการจะจัดตั้งธุรกิจ แต่นำชื่อของบุคคลอื่นมาแอบอ้าง เพื่อใช้ประกอบการยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อให้มีจำนวนผู้เริ่มก่อการครบทั้ง 3 คนตามที่กฎหมายกำหนด ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มรับจ้างขายชื่อ โดยยินยอมให้นำชื่อของตนเองไปใช้จดทะเบียนธุรกิจ ซึ่งอาจได้รับค่าตอบแทนหรืออาจจะไม่ได้รับก็ได้ อีกทั้งยังมีอีกกลุ่มคนที่ถูกแอบอ้างหรือปลอมลายมือชื่อ โดยไม่ได้ยินยอมให้นำชื่อของตนไปใช้ในการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกระทั่งมีการฟ้องร้องทางธุรกิจจนทำให้ทราบว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายนั้น ทั้งนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าตระหนักและให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความมีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นการเริ่มต้นธุรกิจหากไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความโปร่งใสย่อมมีแนวโน้มที่นิติบุคคลรายนั้นจะประกอบธุรกิจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกับมีเจตนาที่จะจัดตั้งธุรกิจขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้อื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ออกประกาศ เรื่องแจ้งเตือนประชาชนให้ใช้ความระมัดระวังในการลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เพื่อใช้ในการยื่นคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท พ.ศ.2563 ทั้งนี้การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโดยไม่มีเจตนาหรือจุดประสงค์ที่จะดำเนินธุรกิจตามที่แจ้งไว้ ถือเป็นการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนและจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ โดยการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวให้ถึงที่สุด “ขอแจ้งเตือนไปยังประชาชนให้ระวังการถูกนำบัตรประจำตัวประชาชนและข้อมูลในบัตรไปสวมรอยจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่รู้ตัว และหากจำเป็นต้องมอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำการใดแทนจะต้องระบุข้อความสำหรับธุรกรรมดังกล่าวลงบนสำเนาบัตรประชาชนด้วยทุกครั้ง อีกทั้งต้องระมัดระวังและตรวจสอบข้อความก่อนลงลายมือชื่อในเอกสารหรือแบบพิมพ์ต่างๆ เพื่อป้องกันการถูกหลอกนำชื่อไปใช้จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจหรือดำเนินการแก้ไขใดๆในบริษัท โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกรรมการ ทั้งนี้ได้กำชับให้นายทะเบียนที่มีหน้าที่พิจารณาการจดทะเบียนนิติบุคคลตรวจสอบเอกสารการยื่นขอจดทะเบียนด้วยความรอบคอบ และเป็นไปตามที่ระเบียบกำหนด”