กรมการค้าภายในระบุหน้ากากอนามัยมีในสต๊อก 200 ล้านชิ้น ใช้ได้ 4-5 เดือนแม้ไม่ผลิตเพิ่ม ย้ำอย่ากักตุน ระบุชาวไทยเชื้อสายจีนซื้อหน้ากากอนามัยในไทยส่งไปช่วยเหลือพี่น้องในจีนไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมถกผู้ผลิตเจลล้างมือ 3 ก.พ.นี้ นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า หน้ากากอนามัยที่มีอยู่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน โดยประเทศไทยมีบริษัทผลิตหน้ากากอนามัยมากกว่า 10 ราย มีของอยู่ในสต๊อกไม่น้อยกว่า 100 ล้านชิ้นสามารถรองรับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาได้อีกประมาณ 4 เดือน หากการแพร่ระบาดมีแนวโน้มรุนแรงสามารถผลิตเพิ่มได้ ส่วนที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจัดซื้อหน้ากากอนามัยในประเทศไทยส่งไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในประเทศจีนหลายรายไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ในประเทศ นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวว่า หน้ากากอนามัยทุกประเภท ทั้งแบบเอ็น 95,คาร์บอน ฯลฯ มีเพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ ประชาชนไม่จำเป็นต้องซื้อกักตุน หรือซื้อเก็บไว้จำนวนมาก เพราะจะเป็นการสร้างความต้องการเทียม จนอาจทำให้ปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ อย่างไร ก็ตาม ขณะนี้ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยรายใหญ่หลายรายได้เร่งกำลังการผลิต และผลิตต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง บางรายต้องประกาศรับสมัครคนงานเพิ่มจำนวนมาก เพื่อผลิตให้เพียงพอรองรับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา โดยอย่างที่ทราบไทยใช้หน้ากากอนามัยเดือนละ 30 ล้านชิ้น แต่ช่วงนี้อาจเพิ่มเป็น 40-50 ล้านชิ้น ซึ่งหากไม่ผลิตเพิ่มเลย สต๊อกของผู้ผลิตทุกรายที่มีอยู่ 200 ล้านชิ้นจะมีเพียงพอใช้ไปได้อีก 4-5 เดือน แต่ขณะนี้ทุกรายเร่งผลิตเพิ่ม ดังนั้นประชาชนไม่ควรซื้อเพิ่ม ให้ซื้อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าซื้อกักตุนไว้อาจทำให้ไม่เพียงพอ ถ้าคิดง่ายๆเฉพาะคนในกรุงเทพฯมี 10 ล้านคน ถ้าซื้อเก็บไว้คนละ 10 ชิ้นต้องใช้มากถึง 100 ล้านชิ้น ปริมาณจะไม่เพียงพอ สำหรับในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาใช้เพียงหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าก็สามารถป้องกันการติดเชื้อได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้ากากแบบเอ็น 95 หรือคาร์บอน เพราะเชื้อไวรัสโคโรนามีขนาดใหญ่กว่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มาก อีกทั้งไม่ได้ล่องลอยในอากาศเหมือนฝุ่นพีเอ็ม 2.5 แต่จะแพร่กระจายด้วยการไอและจาม ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ล้างมือบ่อยๆให้สะอาด ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อจะไปในที่ชุมชน ส่วนผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเช่น เป็นไข้หวัด ต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อกันการแพร่กระจาย เป็นต้น และในบางพื้นที่ที่หาซื้อหน้ากากอนามัยได้ยากเช่น แหล่งท่องเที่ยวให้โทรมาที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 จะประสานผู้ผลิตให้นำหน้ากากอนามัยมาขายให้ ขณะนี้มีทั้งหน่วยงานราชการ ประชาชน โทรเข้ามาจำนวนมาก อย่างล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศได้โทรประสานเข้ามาเพื่อจัดส่งไปให้สถานทูตไทยในประเทศต่างๆ ซึ่งได้ประสานผู้ผลิตให้แล้ว นอกจากนี้ได้นำสินค้าหน้ากากอนามัยไว้ในบัญชีสินค้าและบริการที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ หรือ Sensitive List (SL)จากเดิมอยู่ในบัญชีสินค้าที่ติดตาม เพื่อเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบราคาและภาวะทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขายเกินราคาจากที่ประชาชนในประเทศมีความต้องการใช้เพิ่มสูงกว่าปกติ และในวันที่ 3 ก.พ.นี้ได้เชิญผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทเจลล้างมือมาประชุมหารือเพื่อติดตามสถานการณ์และขอความร่วมมือในการผลิตและจำหน่ายให้มากกว่าปกติ เพราะพบว่าความต้องการใช้เจลล้างมือเพิ่มขึ้นมาก