คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย เมื่อพูดถึงเรื่องการเมืองแล้วละก็ ถือเป็นสัจธรรมอย่างแท้จริงเลยว่า “ไม่มีอะไรแน่นอน” เปลี่ยนแปลงแทบทุกวินาที ทำนองเดียวกันกับการเมืองในสหรัฐฯที่ขณะนี้มี “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้กำหนดชะตากรรม ช่วงสามปีกว่าๆที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ สร้างวิกฤติทำให้การเมืองทั่วโลกสั่นคลอนตลอดมาและเนื่องจากเขามีอารมณ์สวิงไม่นิ่งแกว่งไปแกว่งมาจึงยากที่ใครจะคาดเดาได้!!! อนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ทุกๆฝ่ายได้ตั้งความคาดหมายว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คงจะหลุดพ้นคดีถอดถอนออกจากตำแหน่งได้อย่างง่ายดาย เพราะพรรครีพับลิกันมีวุฒิสมาชิกอยู่ในมือเหนือพรรคเดโมแครต 53 ต่อ 47 เสียง และแทบเป็นไม่ได้เลยที่พรรคเดโมแครตสามารถจะดึงเอาวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้มากถึง 20 คน จนครบ 67 เสียง หรือ 2 ใน 3 เพื่อที่จะใช้ทำการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ยังมี “วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์” ผู้นำของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ออกมาแสดงเจตจำนงกางปีกผวาเข้าปกป้องประธานาธิบดีทรัป์อย่างแข็งขันตลอดมา โดยเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หมากเกมนี้จบลง แถมยังขัดขวางไม่ยอมให้มีพยานในการไต่สวนเพิ่มเติมขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยานปากสำคัญที่มีชื่อว่า “จอห์น โบลตัน” แต่ทว่าวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ตีพิมพ์เปิดโปงออกมาว่า จอห์น โบลตัน อดีตกุนซือที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติคนที่ 3 ได้ลงมือเขียนหนังสือที่โยงใยเกี่ยวพันกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชื่อว่า “The Room Where it Happened” ซึ่งจะตีพิมพ์ออกสู่ท้องตลาดในวันที่ 17 มีนาคมนี้ (ราคาเล่มละ 29.95 เหรียญ) และทันทีที่ข่าวนี้ถูกเปิดเผยออกมาก็ได้กลายเป็นประเด็นเผือกร้อนๆสุดๆจุดชนวนให้ระเบิดปะทุขึ้นในทันที โดยจอห์น โบลตันกล่าวอ้างในหนังสือเล่มนั้นว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2019 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เอ่ยปากบอกกับตนว่า จะอายัดเงิน 391 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นงบที่สภาคองเกรสอนุมัติความช่วยเหลือให้แก่ยูเครนในการปกป้องตนเองจากการรุกรานของรัสเซีย จนกว่ายูเครนจะยอมทำการตรวจสอบพฤติกรรมของ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ในเรื่องที่ไบเดนและบุตรชายทำธุรกรรมที่ยูเครน ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เล็งเห็นว่าไบเดน คงจะกลายเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเข้าแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2020 กับตน โดยประธานาธิบดีทรัมป์หวังจะกำจัดอดีตรองประธานาธิบดีไบเดนที่คิดว่าเป็นคู่แข่งให้กระเด็นออกไปจากวงโคจร อย่างไรก็ตามเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หนังสือของเขาก็ได้จุดประกายทำให้สำนักหยั่งเสียงทุกๆแห่งออกมาเปิดเผยว่า “คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็ต้องการให้จอห์น โบลตัน ไปให้ปากคำในการไต่สวนที่ วุฒิสภา” และจากผลการหยั่งเสียงของสำนักหยั่งเสียงชื่อดัง Quinnipiac poll ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 14 มกราคมนี้เช่นกันว่า คนอเมริกัน 66% ต้องการให้โบลตันเข้าไปเป็นพยานในการไต่สวนในวุฒิสภา โดยมีสำนักหยั่งเสียงต่างๆออกมาแสดงผลในทิศทางเดียวกัน อาทิเช่น สำนักหยั่งเสียงซีเอ็นเอ็น สำนักหยั่งเสียงรอยเตอร์ส และ สำนักหยั่งเสียง Ipsos ทั้งนี้เมื่อศึกษาจากชีวประวัติกันดูแล้วจะเห็นได้ว่า “จอห์น โบลตัน” ไม่ธรรมดาเลยเพราะ เขาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและทางด้านกฎหมายมาจากมหาวิทยาลัยเยล โดยมี “ผู้พิพากษาศาลสูงสุดคลาเรนซ์ โทมัส” เป็นเพื่อนร่วมชั้น อีกทั้งเขายังเป็นนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเมืองต่างประเทศในแวดวงโทรทัศน์มาแล้วอย่างยาวนานถึง 11 ปี!!! จอห์น โบลตัน สังกัดอยู่ในค่ายพรรครีพับลิกันฝ่ายอนุรักษนิยมขวาสุดโต่ง และยังเป็นอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำองค์การสหประชาชาติในยุคสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช อีกด้วย สัปดาห์ที่แล้วเมื่อการไต่สวนกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดฉากเริ่มต้นขึ้นจอห์น โบลตัน ได้ออกมากล่าวแถลงว่า “ข้าพเจ้าพร้อมที่จะไปให้ปากคำต่อกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ หากได้รับคำสั่งจากศาล” โดยมีคนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นชอบด้วย แต่กลับกลายเป็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงอาการไม่เห็นด้วย แถมด้วยการต่อต้านอย่างหนักจากคณะทนายความของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึง วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์แกนนำของพรรครีพับลิกัน!!! แต่เมื่อคนอเมริกันส่วนใหญ่เรียกร้องให้จอห์น โบลตัน ไปให้ปากคำในการไต่สวนอย่างล้นหลาม ก็มี “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์” ออกมาวางตัวเป็นแกนนำพยายามผลักดันหนุนหลัง รวมไปถึง “วุฒิสมาชิกซูซาน โคลลินส์”จากรัฐเมน และ “วุฒิสมาชิกลิซา เมอร์ควสกี” จากรัฐอะแลสกา ที่ต่างออกมาเห็นพ้องต้องกัน กระนั้นก็ตามการที่จอห์น โบลตัน จะมีโอกาสสามารถเดินทางไปให้ปากคำได้นั้น พรรคเดโมแครตจำต้องมีเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 51 เสียงขึ้นไปหรือเกินกว่าครึ่งของจำนวนวุฒิสมาชิกทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้พรรคเดโมแครตมีแค่เพียง 47 เสียง อีกทั้งการที่จะดึงเอาคะแนนเสียงอีก 4 คะแนนจากวุฒิสมาชิกของค่ายพรรครีพับลิกันมาได้นั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้อิมพอสสิเบิลยากเย็นเหมือนเข็นภูเขาเข้าไปอยู่ในครกเลยทีเดียว!!! เนื่องมาจากวุฒิสมาชิกที่สังกัดอยู่ในค่ายพรรครีพับลิกันแทบทุกคนจะต้องเดินตามหมากที่วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาวางเอาไว้ เพื่อใช้ปกป้องประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเห็นได้ว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็มิได้แสดงอาการสะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะเขายังคงโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์กล่าวโจมตีวิพากษ์วิจารณ์เยาะเย้ย “ส.ส.อดัม ชิฟฟ์”หัวหน้าคณะทนายความด้านกฎหมายของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนฯตลอดเวลาว่า “อดัม ชิฟฟ์ เป็นคนไม่เต็มบาท พูดจาโป้ปดโกหก” (ใครกันแน่ที่เป็นเยี่ยงนั้น) แต่ส.ส.อดัม ชิฟฟ์ ผู้มากด้วยไหวพริบปฏิภาณแถมยังมีคารมคมคาย สืบเนื่องมาจากเขามีอดีตเป็นอัยการรัฐบาลกลางมาก่อน และยังมีพื้นเพด้านการศึกษามาอย่างยอดเยี่ยม โดยจบในระดับปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ด และด้านกฎหมายมาจากฮาร์วาร์ด ขณะนี้กำลังรับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนฯ โดยเขาได้ออกมาต่อกรกล่าวประณามประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเผ็ดร้อนในช่วงการไต่สวนในวุฒิสภาว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศชาติ และหากปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกสี่ปี สหรัฐฯจะไปสู่ความหายนะอย่างแน่นอน เพราะประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน” กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นโอกาสที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น หากคิดกันเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วอาจจะฟังดูน้อยนิดก็ตาม แต่หากว่าจอห์น โบลตัน ได้รับโอกาสเข้าไปเป็นพยานในการไต่สวน เกมครั้งนี้ก็อาจจะยืดเยื้อไม่ปิดฉากจบลงง่ายๆ แต่ในทางกลับกันหากโบลตันถูกสั่งให้รูดซิปปิดปากไม่ต้องออกไปให้ปากคำ ก็ย่อมจะส่งผลดีให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่น้อย แต่คงจะส่งผลเสียให้แก่เขาในการเลือกตั้งปลายปีนี้อย่างแน่นอน โดยประเด็นหลักๆอยู่ที่ว่าคนอเมริกันจะเชื่อใจใครมากกว่ากันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับ จอห์น โบลตัน ละครับ