วันที่ 27 ม.ค.2563 นายบรรยง พงษ์พานิช ประธาน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กระบุว่า...บทเรียน…จากไร่ส้ม. 26มกราคม2563
กรณีที่คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดาต้องรับโทษจากคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ถูกจำคุกนานถึงแปดปี สร้างความสะทกสะท้อนให้กับคนจำนวนมาก
คุณสรยุทธนั้นเป็นคนเก่งมากๆในระดับอัจฉริยะที่สร้างปรากฎการณ์ สามารถปฏิวัติพลิกรูปโฉมของวงการข่าวโทรทัศน์ของประเทศไทย และด้วยความเก่งของเขาก็ทำให้คุณสรยุทธมีความมั่งคั่งจากอาชีพสุจริต มีทรัพย์สินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาทได้ โดยที่ใครๆก็รู้ สามารถรำ่รวยอย่างเปิดเผยชนิดที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างยืดอกได้สบายๆ ไม่ต้องมิดเม้นเหมือนบางคนที่รำ่รวยมาจากการฉ้อฉลโดยมิชอบ ไม่ต้องเสียเวลาไปฟอกเงินแต่อย่างใด
ยิ่งกว่านั้น คุณสรยุทธยังได้ชื่อว่าเป็นคนดี มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมชาติอย่างสูงยิ่ง เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นคราวใด ก็ทุ่มเทเป็นตัวกลางระดมทุนแถมดำเนินการลงไปช่วยเหลือด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตัวอย่างเช่น คราวภัยพิบัติสึนามิ2547 คุณสรยุทธก็ระดมทุนได้หลายร้อยล้านบาทนำลงไปช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง ผิดกับรัฐบาลทักษิณที่เรี่ยไรได้มากมายกว่าพันล้าน แต่กลับเอาไปกองไว้ในบัญชีเหลือเบะจนเดือดร้อนท่านสู่วัดต้องคิดโครงการอนุสรณ์สถาน 640ล้านมาถลุงเงินบริจาค(โชคดีที่ถูกรุมด่าจนต้องระงับ…แต่คนคิดก็ยังได้สายสะพายปฐมดิเรกคุณาภรณ์ในฐานะช่วยสึนามิ …ซึ่งผมคิดว่าคุณสรยุทธน่าจะได้รับมากกว่าเป็นอย่างยิ่ง) …ซึ่งผมเชื่อว่า หากไม่ต้องคดี ในคราวที่ชาวอุบลประสบภัยนำ้ท่วม คุณสรยุทธก็คงจะเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยเหลือชาวบ้านได้มากมายไม่น้อยไปกว่าที่คุณบิณฑ์
บรรลือฤทธิ์ได้ทำไป ซึ่งทำได้มากกว่า ตบหน้าฝ่ายรัฐบาลที่เกณฑ์ครม.ทั้งคณะมารับโทรศัพท์เรี่ยไร แถมเกณฑ์หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และเจ้าสัวในเครือข่ายมาเข้าแถวบริจาคอีกด้วยซ้ำ (นี่ผมก็กำลังรอดูอยู่ว่า ระหว่างคุณบิณฑ์หรือน้องชายท่านสู่วัดผู้จัดรายการที่ทำเนียบใครจะได้สายสะพาย)
มันจึงเกิดคำถามขึ้นว่า …ทำไมคุณสรยุทธ ซึ่งเป็นคน ทั้งเก่ง ทั้งรวย ทั้งดี จึงยังทำการทุจริตเบียดบังทรัพย์สินของแผ่นดิน ทั้งๆที่เงิน 138ล้านที่เบียดบังไปนั้น ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากมายอะไรสำหรับคุณสรยุทธ ไม่ได้เป็นจำนวนที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต และไม่ได้ทำให้รำ่รวยเพิ่มขึ้นสักเท่าใด ไม่น่าจะคุ้มกับความเสี่ยงที่อาจจะต้องได้รับโทษหนักหนาอย่างที่เป็น
ผมคิดว่า แรงจูงใจที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมีอยู่สองประการ คือ ประการแรก คุณสรยุทธคงเห็นตลอดมาว่า เรื่องอย่างนี้”ใครๆเขาก็ทำกัน” และประการที่สอง คุณสรยุทธก็คงเห็นว่า โอกาสที่จะถูกจับได้ ถูกลงโทษนั้นคงน้อยมาก เพราะความที่เป็นนักข่าวที่กว้างขวาง ก็คงจะเห็นเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นดาดดื่นทั่วไปในประเทศนี้ซึ่งแทบไม่มีใครเลยที่ถูกจับได้ ถูกลงโทษ แถมก็ยังได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องอยู่ในสังคมเป็นอันดีด้วย ขอเพียงแต่ให้เป็นคนร่ำรวยก็พอ
ผมเชื่อว่า ทุกๆคนคงเชื่อเหมือนผม ว่าไม่ใช่มีแต่คุณสรยุทธเท่านั้นที่ทุจริตเมื่อมีโอกาส ไม่ใช่มีคุณสรยุทธเท่านั้นที่เอาเปรียบอสมท.เอาเปรียบรัฐและรัฐวิสาหกิจ ที่ว่า”ใครๆเขาก็ทำกัน”นั้นเป็นความจริง เป็นทัศนคติของผู้มีอำนาจรัฐและผู้ค้าขายกับรัฐมาอย่างกว้างขวางช้านาน และพอ”ทำแล้วมีโอกาสที่จะถูกจับได้ต่ำ แถมถ้าบังเอิญถูกจับได้ก็ยังมีโอกาสใช้อำนาจใช้เงินวิ่งเต้นกลบเกลื่อนได้ คนก็เลยทุจริตกันอย่างกว้างขวาง …ใครมีโอกาสแล้วไม่โกงกลายเป็นพวกคนโง่ขวางโลก ยิ่งใครลุกไปขวางการโกงยิ่งเป็นตัวประหลาดอยากดัง
ทั้งสองเหตุผลนั้น มันพ้องตรงกับที่Magarette Thatcherเคยพูดไว้ว่า “When state owns, nobody own. When nobody owns, nobody cares.” และก็ไปพ้องตรงกับทฤษฎีคอร์รัปชั่นที่ว่า ตราบใดที่คนเห็นว่า ประโยชน์ที่จะได้จากการโกงนั้นมันสูงกว่าโทษที่จะได้รับคูณกับโอกาสที่จะถูกจับได้ คนก็ย่อมจะโกงต่อไปเมื่อมีโอกาส
อย่างไรก็ดี คุณสรยุทธก็ยังเป็นผู้กล้าหาญ ที่เมื่อถูกจับได้ จำนนด้วยหลักฐาน ก็ยอมที่จะคืนเงินที่ทุจริตไปและอยู่สู้คดีจนถึงที่สุดและยอมก้มหน้ารับโทษ จนกระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเห็นอกเห็นใจ มีกระทั่งคนที่สดุดีเสียด้วยซ้ำ(เพื่อจะได้เอาไปด่าคนบางคนที่หนีไม่ยอมรับโทษเพราะคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการ) …หลายคนถึงกับคิดว่าไม่เป็นธรรมกับคุณสรยุทธด้วยซ้ำ เพราะเงินที่โกงไปก็เอามาคืนแล้ว คดีก็ไม่หนี ทีอดีตปลัดที่ตู้เสื้อผ้าแตก กับอดีตอธิบดีที่ยักยอกภาษีจนรำ่รวยผิดปกติยังโดนโทษแค่ยึดทรัพย์เท่านั้น ไม่เห็นต้องนอนคุกเลย แถมบางคนยังบ่นว่า โกงนิดเดียวเอง ซื้อนาฬิกาได้ไม่กี่เรือน ทีนักการเมือง ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่โกงทีมากมายกว่านี้หลายเท่า รู้ๆกันอยู่ ทำไมไม่โดนโทษ…ซึ่งเรื่องนี้ก็ไปพ้องกับกลยุทธของนักโกงในข้อที่ว่าโกงทั้งทีต้อง”โกงกระจุก แต่ให้เสียหายกระจาย” เพราะจะว่าไปเงิน 138ล้านบาทที่โกงไป พวกเราคนไทยเสียคนละแค่ 2.12บาทเอง(138หารด้วย65) ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลย ไม่น่าจะไปลงโทษแกหนักขนาดนั้น
เรื่องราวทั้งหมดนี้ …นอกจากเป็นบทเรียนแก่คุณสรยุทธ และนักโกงนักยัดเงินทั้งหลาย(ที่ทำให้ต้องระมัดระวังมากขึ้น)แล้ว ผมยังหวังว่า ยังจะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับสังคม โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นในการออกแบบกระบวนการที่ได้ผล
ความจริง กระบวนการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นที่comprehensive ที่ผมคิดว่าได้ผลนั้น ผมเคยได้มีโอกาสนำเสนอจนมีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งชาติเมื่อปี2558(มีผมร่วมอยู่ด้วย) วันหลังจะนำมาเปิดเผยเล่าให้ฟังอย่างละเอียด รวมทั้งจะเล่าให้ฟังด้วยว่าทำไมมันถึงไม่ได้มีการนำไปปฏิบัติ(มีแค่บางมาตรการจิ๊บจ้อยกระเส็นกระสายเท่านั้นที่ถูกนำไปใช้) ซึ่งผมมั่นใจว่า ถ้าดำเนินการครบถ้วนตามที่เสนอ คอร์รัปชั่นจะลดลงมากมาย และภายในห้าปี ประเทศไทยจะได้รับคะแนนCPI(Corruption Perception Index)เพิ่มจาก36เป็นเกิน50 ไปอยู่ในTop50ของโลกเสียที(ตอนนี้อันดับ101\180) …ขอให้รอหน่อยนะครับจะเล่าให้ฟัง เพราะผมก็ถือทฤษฎีที่ว่า “ตราบใดที่โทษและภัยที่ผมอาจจะได้รับจากการต่อต้านคอร์รัปชั่นยังสูงกว่าโอกาสที่ผมจะปลอดภัยคูณด้วยโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการลดโกง ผมก็จะขออยู่เฉยๆไปก่อน”
วันนี้เอาไปเท่านี้ก่อนนะครับ